พยายามเข้าใจ การลงทุน การเงิน และระบบเศรษฐกิจ

Finance

ทำไมต้องลงทุน? (why invest?)

ในโลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน และยิ่งเวลาอ่านข่าวว่าคนไทยหลายคนน่าจะไม่มีเงินพอใช้หลังเกษียณก็จะทำให้เราก็กังวลเพิ่มขึ้นไปด้วย

การจะหาเงินเมื่อถึงวัยทำงานก็จะมีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างก็คือ เป็นลูกจ้างเพื่อทำงานให้คนอื่น หรือเราก็ต้องหาทำธุรกิจอะไรเองหรือลงทุนจากสิ่งที่เรามีซึ่งคำที่เขาชอบพูดกันว่า “ให้เงินทำงาน” นั่นเอง

เพราะอะไรถึงต้องลงทุน?

หากท่านเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นลูกจ้างแบบผมแล้วทำงานมีเงินเดือน หากจัดการค่าใช้จ่ายดีๆหน่อย มีการใส่ใจเรื่องการลดหย่อนภาษีตามสมควร ก็อาจจะมีเงินเหลือเก็บ (ซึ่งจริงๆแล้วเราควรจะเก็บก่อนแล้วค่อยนำที่เหลือไปใช้) แล้วก็นำเงินไปฝากไว้ในธนาคารเพื่อดอกเบี้ยที่แทบจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย (หรือวิธีแบบดั้งเดิมหน่อยก็เก็บไว้ในตู้กับข้าว ในไห ในโอ่ง) เงินเหล่านั้นก็เรียกว่าจะไม่ได้งอกเงยอะไร แถมแต่ละปีก็จะโดนเงินเฟ้อบั่นทอนมูลค่าลงไปเรื่อยๆ

ในทางกลับกัน หากเรานำเงินไปลงทุน (ที่ได้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่มีโอกาสมากกว่าการฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ) เราก็จะมีโอกาสเพิ่มมูลค่าของเงินเก็บเรามากกว่า

ทีนี้ไม่ว่าเราจะนำเงินไปลงทุนในอะไรก็ตาม เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเล็กๆต่างๆ หรือผสมปนเปกันไป สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องการก็คือต้องการให้สิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันเพิ่มมูลค่าขึ้นตามสมควรในอนาคตนั่นแหละ

เราลงทุนในสิ่งเหล่านั้นก็เพื่อที่ว่าเราอยากจะส่งลูกเข้าโรงเรียนดีๆ มีเงินใช้ในยามเกษียณ หรือรักษาตัวเองยามเจ็บไข้ได้ป่วย ก็คือเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนที่คงไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนคงไม่ได้อยากไปที่เดียวกันหรืออยากมีชีวิตรูปแบบเดียวกันหมด

ไม่ว่าใครจะเลือกลงทุนในรูปแบบไหน ผ่านเครื่องมือทางการเงิน ธุรกิจ หรือทรัพย์สินอะไร เพื่อเป้าหมายในการลงทุนที่ตามแต่ละคนจะต้องการ ก็มีปัจจัยบางประการที่ควรจะต้องพิจารณาก่อนการลงทุนก็คือ อายุ รายได้ และมุมมองต่ออนาคต

คนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ก็อาจจะสามารถรับความเสี่ยงได้มากหน่อย ภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็อาจจะยังมีไม่มาก สามารถเลือกและลองลงทุนได้หลายๆแบบ คนที่กำลังสร้างครอบครัวก็อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนขึ้นมาหน่อย เสี่ยงได้น้อยลงหน่อย แต่หากคนที่อายุมากแล้วหรือเกษียณแล้วก็คงต้องเน้นการรักษาเงินต้นไว้ให้มากที่สุดเพื่อให้มีเงินใช้สอยหรือรักษาตัวเองยามเจ็บป่วย

อย่างไรก็ดี ปัจจัยทางรายได้ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก แน่นอน ถ้าไม่มีเงิน แล้วจะเอาเงินจากไหนไปลงทุนหละ ดังนั้นการมีอาชีพหรือมีการมีงานทำที่ค่อนข้างมั่นคง การใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่หลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยวนรอบตัว ไม่ใช้จ่ายให้เกินตัวเกินพอดี แล้วนำเงินส่วนนึงไปลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างมูลค่าของเงินเก็บที่เรามีก็เป็นทางเลือกนึงเช่นกันที่จะทำให้สิ่งที่เรามีนั้นงอกเงยอย่างมั่นคง

ไม่ว่าท่านจะมีรายได้เท่าไหร่หรืออาชีพอะไร ท่านก็สามารถพยายามเพื่อเก็บเงินได้ จากหนังสือ “The Richest Man in Babylon” โดย George Samuel Clason นั้นก็ได้ให้คำแนะนำทางการเงินเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน การเก็บเงิน และการนำเงินไปลงทุนไว้ได้อย่างน่าสนใจ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆที่จะอ่านและเข้าใจได้ ท่านใดสนใจก็ลองค้นหามาอ่านได้ เป็นสิ่งที่เราสามารถปฏิบัติตามได้อย่างทันที

มุมมองต่ออนาคตก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของเราเช่นกัน หลายๆครอบครัวมีลูกน้อยลงเพราะกังวลกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกที่จะตามมา ทำให้มีลูกกันแค่คนเดียว หรือแม้แต่บางครอบครัวไม่เคยมีการวางแผนทางการเงินเรื่องการมีลูกเลย สุดท้ายก็จะมีปัญหาตามมาในการเลี้ยงดู แน่นอนครอบครัวที่มีการศึกษาสูงมีรายได้สูงมีการลงทุนที่เหมาะสมก็จะทำให้เพิ่มอำนาจการซื้อขึ้นไปอีก ในขณะที่ครอบครัวที่ติดอยู่กับรายได้ต่ำที่แม้แต่ความจำเป็นเพื่อยังชีพก็ไม่พอด้วยซ้ำ

ในโลกทุนนิยมแบบนี้ ยังไงก็ต้องมีทุน สิ่งที่จะเพิ่มทุนก็คือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเอง (productivity) ดังนั้นก็ต้องหาทางเพิ่มทักษะ เพิ่มความสามารถ เพิ่มความรู้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน

เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราต้องวางแผนหลังเกษียณก็ให้ทำเลยครับ ไม่ว่าท่านจะอายุน้อยหรือวัยกลางคนแล้ว ยังไงก็ยังดีกว่าไปรู้ตัวเอายามแก่และถึงเวลานั้นหากไม่มีเงินเก็บเลย ซึ่งตอนนั้นคงจะลำบากพอสมควรที่จะทำอะไร และถ้ามีหนี้ที่มากเกินควรอีกก็ยิ่งจะทำให้เครียดไปใหญ่ ก็มาเริ่มกันเลยครับ จัดการที่ค่าใช้จ่ายเราก่อนเลย อะไรที่ไม่จำเป็นจริงๆ ก็ตัดก่อนเลยครับ มันอาจจะเจ็บปวดในตอนนี้ แต่อนาคตก็จะดีขึ้นเอง

ขอให้มีเงินใช้หลังเกษียณกันทุกท่านครับ

blenlit

Hakwamroo.com

Leave a Reply