ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ 4 แล้วที่มีการถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท Berkshire Hathaway ผ่านทาง finance.yahoo.com นับย้อนจากปี 1980 ที่มีผู้ร่วมเข้าประชุมเพียง 13 คน มาวันนี้ 38 ปีผ่านไป ผู้ร่วมเข้าประชุมได้เพิ่มขึ้นเป็น 42,000 คนในปี 2017 แม่เจ้า! นี่มันงานประชุมผู้ถือหุ้นหรือแข่งบอลโลกกันแน่ โดยเมื่อปีที่แล้วมีผู้ชมการถ่ายทอดสด 3.1 ล้านคนทั่วโลกซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2016 ถึง 72%.
นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามีผู้คนให้ความสนใจที่จะมาฟัง เรียนรู้ และถามคำถามกับสองคู่หูรุ่นคุณปู่อย่าง วอเรน บัฟเฟต และชาลี มังเกอร์ ผู้มากประสพการณ์และความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุน เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาจริงๆครับที่คนอายุ 87 (ปู่วอเรน) กับ 94 (ปู่ชาลี) ยังมีพลังในการทำงานอย่างท่วมท้นมานั่งตอบคำถามให้กับผู้ถือหุ้นได้เรียนรู้กันเป็นเวลาถึง 6-7 ชั่วโมงแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมีผู้ต้องการจะเข้าร่วมการประชุมและคำถามในการประชุมแต่ละครั้งนั้นก็เยอะมาก จึงมีผู้คอยคัดกรองก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับเวลา (แหม่ มีการคัดกรองขนาดนี้ยังยิงคำถามกันถึง 6-7 ชั่วโมงอยู่เลย) แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองก็เลือกที่จะไม่ดูคำถามก่อนเพื่อความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถามว่าไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนแน่นอน ซึ่งหลังจากที่ผู้เขียนเคยได้ดูมาก่อนหน้านี้ บางคำถามก็ทำให้เกิดความสนุกสนานเรียกเสียงหัวเราะจากคนเข้าร่วมประชุม (ใช่ครับ เสียงหัวเราจากการประชุมผู้ถือหุ้น) และแม้คำถามหลายคำถามจะค่อนข้างหนักหน่วง แต่ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมนั้นได้มีประสพการณ์ไปพร้อมๆกัน ท่านปู่ทั้งสองก็ยังคงจะเลือกการตอบคำถามในลักษณะนี้ต่อไป
ข้อมูลทั่วไปของการประชุมในครั้งนี้
- 5 พฤษภาคม 2018
- ผู้ร่วมเข้าประชุม: 42,000 – 43,000 คน (ไม่มีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการ)
- Book Value: 19 USD เมื่อ 1964 เพิ่มขึ้นเป็น 211,692.39 USD ในปี 2018 (นั่นคือ 1,114,070.47% !)
- ราคาหุ้นบริษัทเมื่อเดือนมิถุนายน 1979 ที่ 260 USD เพิ่มขึ้นเป็น 292,600 USD ณ วันที่ 4 พฤษาคม 2018 (นั่นคือ 112,438.46% !)
เฮ่อ…เริ่มจะคำนวณไม่ถูกละ (กราฟด้านบนเปรียบเทียบราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway กับ S&P500)
โดยประเด็นสำคัญบางส่วนจากคำถามการประชุมก็มีดังนี้
- ให้เลือกธุรกิจให้ถูก เลือกธุรกิจที่เราสามารถเข้าใจได้
- ปู่บอกว่าหากนำเงิน 10,000 USD ไปลงทุนในทองในปี 1942 ก็จะได้ทอง 300 ออนซ์ (8.5 กิโลกรัม) วันนี้ทองก็จะมีมูลค่า 400,000 เหรียญ แต่หากนำเงิน 10,000 USD ไปลงทุนในกองทุนดัชนีแทน เงิน 10,000 เหรียญนั้นก็จะกลายเป็น 51 ล้าน USD!!!
- มีผู้ถามคำถามว่าเมื่อมีผู้ช่วยอย่าง Todd Combs และ Ted Weschler ที่ช่วยบริหารสินทรัพย์แล้ว ปู่วอเรนนี่คือกึ่งๆรีไทร์แล้วหรือไม่ ปู่วอเรนตอบว่าสองผู้ช่วยนั้นมีทรัพย์สินอยู่ในความดูแลรวมกันมูลค่า 25,000 ล้าน USD แต่ปู่วอเรนก็ยังดูแลตราสารทุนอีก 170,000 ล้าน USD ตราสารหนี้ 20,000 ล้าน USD และเงินสดอีก 110,000 ล้าน USD อยู่นะ ฉะนั้นยังไม่ได้รีไทร์ไปไหน ยังมีความรับผิดชอบอยู่ แต่อย่างไรก็ดีปู่วอเรนได้สร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้นว่าตอนนี้ชื่อเสียงของ Berkshire นั้นมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนก็จะยังนึกถึง Berkshire ก่อนเสมอ
- เมื่อถูกถามถึงสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนในขณะนี้ ปู่ค่อนข้างที่จะให้ความเห็นในเชิงบวกคือว่า ทั้งอเมริกาและจีนตอนนี้ต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันเพราะต่างก็เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งคู่ ดังนั้นแล้วการทำงานร่วมกันให้ได้ย่อมจะส่งผลที่ดีต่อทั้งสองประเทศและโลกมากกว่า ยังไงก็น่าจะหาทางออกร่วมกันได้
- ต่อคำถามที่ว่า Berkshire จะจ่ายปันผลหรือไม่หากมีเงินสด 150,000 ล้าน USD และไม่มีธุรกิจที่น่าสนใจให้ซื้อ ปู่บอกว่า Berkshire จะว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น การซื้อหุ้นกลับคืนก็เป็นวิธีที่ดีกว่าจ่ายเงินปันผลหากราคาหุ้นในตลาดนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท “เราพยายามจะทำอะไรที่เข้าท่าที่สุดแต่ไม่ใช่มาจากความคิดที่ว่าเราต้องทำอะไรทุกวัน ผู้ถือหุ้นของเราโหวต 47 ต่อ 1 ว่าไม่จ่ายเงินปันผล ผู้ถือหุ้นของเราก็คาดหวังว่าเราจะทำอะไรที่เข้าท่าสำหรับผู้ถือหุ้นเช่นกัน ไดเรคเตอร์ของเราก็เป็นเจ้าของหุ้น ผู้จัดการเราก็ด้วย เราทุกๆคนคิดเหมือนกับผู้ถือหุ้นทั้งนั้น” ปู่ทิ้งท้าย
- ทำไม Berkshire ถึงไม่ซื้อหุ้น Microsoft? “ในช่วงปีแรกๆ (ก่อนที่บิล เกตส์ กับปู่วอเรนจะเป็นเพื่อนกัน) นั้นคำตอบที่ชัดเจนก็คือ ความโง่เขลานั่นเอง แต่ตั้งแต่ บิล (เกตส์) ได้เป็นหนึ่งในบอร์ดของ Berkshire นั้น และเนื่องจากความสัมพันธ์ดั่งเพื่อน มันก็จะเป็นความผิดพลาดแน่ๆ หากมีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะตกเป็นเป้าหมายในการกดดัน แนะนำ หรือกล่าวหาว่าเรามีข้อมูลภายใน (insider knowledge) สำหรับหุ้นนั้น เราจึงหนีให้ห่างจากบางสิ่งบางอย่างเพียงเพราะการเข้าไปยุ่งเกี่ยวนั้นอาจจะถูกวาดภาพว่าเราได้คุยกับใครถึงบางสิ่งบางอย่าง ชั้นได้บอกกับ Ted และ Todd ถึงบางสิ่งบางอย่างนี้เช่นกันว่าอะไรที่พวกเขาแตะต้องไม่ได้ และสำหรับ Microsoft ทั้งเรื่องนั้นและความโง่เขลาของชั้นเองที่ทำให้เสียโอกาสได้เงินที่มากมายจากหุ้น Microsoft”
- การคำนวณมูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value) ของบริษัท? ปู่ชาลีได้ตอบว่า “เรามักจะมองหาบริษัทที่ใช้ทุนน้อยๆและมองหาโอกาสจากหุ้นที่มีราคาผิดไปจากที่เราคำนวณ เราไม่สามารถให้สูตรที่ตายตัวได้ในการหามูลค่าที่แท้จริงและเราก็ไม่ได้ใช้มันด้วย เรารวมทุกๆปัจจัยเข้าด้วยกัน และถ้าช่องว่างระหว่างมูลค่าที่แท้จริงกับราคานั้นไม่น่าสนใจ เราก็แค่มองหาตัวอื่นต่อไป”
- การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี? ปู่วอเรนได้ให้ความเห็นว่า “ไม่ว่าจะเป็นเซคเตอร์เทคโนโลยีหรือไม่ เราก็จะเลือกที่จะตัดสินใจบนพื้นฐานของความสามารถในการยืนระยะของความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัทนั้นๆ และเราได้เปรียบในการประเมินความเป็นไปได้ในการพัฒนาความสามารถของการยืนระยะยาวนั้น (ก็คือบริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถยืนระยะในธุรกิจได้นานเท่าที่จะเป็นไปได้) Amazon ได้ทำในสิ่งที่เราคิดว่าใกล้เคียงกับปาฎิหาริย์และเราก็มักจะไม่เลือกลงทุนในสิ่งนั้น เราคงทำได้ดีกว่านี้มากถ้าเราสามารถมองได้ออกมากกว่านี้ในตอนนั้น บิล (เกตส์) เคยบอกเราในอดีตว่าให้เปลี่ยนจาก Altavista เป็น Google แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่าแล้วใครจะมองผ่าน Google ไปอีกหละ เราได้ทำความผิดพลาดในอดีต เราลงทุนใน Apple เพราะความฉลาดในการใช้ทุนและคุณค่าของระบบนิเวศน์ของ Apple ซึ่งมันเป็นเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคมากกว่าที่เราจะไปแกะ iPhone ดูว่าข้างในมีอะไรบ้าง เราอาจจะพลาดในหลายๆอย่างที่เราไม่เข้าใจดีพอ แต่อย่างไรก็ดีมันก็ไม่ได้มีต้นทุนอะไรในสิ่งที่คุณไม่ได้เหวี่ยงแขนออกไปตราบเท่าที่คุณตีโดนบางอย่าง (เปรียบเทียบการลงทุนกับการเหวี่ยงแขนตีลูกบอลในเบสบอล) จงแวดล้อมตัวคุณไปด้วยคนที่มีความสามารถและทำให้คุณได้เปรียบไม่ว่าจะจากประสพการณ์หรือความมีเหตุผล”
หากผู้อ่านท่านใดสนใจเวอรชั่นเต็มจากทั้งหมด 50 กว่าคำถามนั้นก็สามารถรับชมได้ที่ http://finance.yahoo.com/brklivestream/
ขอให้สนุกกับการหาความรู้ครับ
blenlit
hakwarmroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.