ธนาคารกลางต่างๆกำลังลดขนาดของงบดุลของพวกเขา
The Economist May 4th 2023
เมื่อช่วงเริ่มต้นของวิกฤติการเงินทั่วโลกระหว่างปี 2007 ถึง 2009 เหล่านักลงทุนและนักการเมืองก็เริ่มคุ้นชินกับความคิดที่เรียกว่า quantitative easing (QE) ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ของนโยบายทางการเงิน (คือการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างๆโดยธนาคารกลางเพื่ออัดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อให้มีสภาพคล่องที่มากขึ้น) QE ได้ถูกนำไปใช้ก็เนื่องจากว่าการตัดทอนของระดับอัตราดอกเบี้ยจนติดพื้นใกล้เคียงกับ 0% นั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ไขความฝืดเคืองและการหดตัวของสภาพคล่องที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการเงินนั้น
เหล่าธนาคารกลางจึงใช้ QE เพื่อที่จะเพิ่มขนาดงบดุลของตัวเอง ด้วยการสร้างเงิน (ในรูปแบบของเงินสำรองของธนาคาร) เพื่อที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์อื่นๆจากภาคเอกชน เป้าหมายของการกระทำนี้ก็เพื่อที่จะลดต้นทุนการกู้ยืมเงินในระยะยาวโดยเฉพาะในตลาดพันธบัตร แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง เหล่าธนาคารกลางก็ได้เริ่มเอื้อมมือไปลองดึงคันโยกนโยบายทางการเงินที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ quantitative tightening (QT) ซึ่งธนาคารกลางของยุโรปก็ได้เริ่มต้นขั้นตอนนี้ไปแล้วในเดือนมีนาคม 2023 แล้วนโยบายนี้มันเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
QT ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับ QE ก็คืองบดุลของธนาคารกลางจะมีการหดตัวแทนที่จะขยายตัว ซึ่งมันก็สามารถทำได้อยู่สองทาง การลดขนาดของงบดุลลงแบบตั้งรับก็คือธนาคารกลางจะถือพันธบัตรไปจนถึงวันครบกำหนดอายุ และก็ไม่ลงทุนต่อเนื่องอีกจากเงินที่ได้คืนมาจากพันธบัตรนั้น ส่วนการลดขนาดอีกแบบนึงก็คือ active (เชิงรุก) ก็คือการขายพันธบัตรที่ถืออยู่ออกไปเลยในตลาดรอง (secondary market) โดยในทั้งสองกรณีนั้นภาคเอกชนจะต้องถือครองพันบัตรรัฐบาลมากขึ้นเอง และในทางทฤษฏีแล้วก็จะมีความอยากน้อยลงที่จะปล่อยเงินกู้ที่อื่น และเมื่อธนาคารกลางขายพันธบัตรออกไป งบดุลของพวกเขาก็จะหดตัวลง
อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางต่างๆก็ค่อนข้างระมัดระวังว่าจะทำการ QT มากระดับไหนและรวดเร็วแค่ไหนอยู่เหมือนกัน เนื่องจากว่าถ้า QE ส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรนั้นลดต่ำลง มันก็เป็นเหตุสมควรที่จะคาดหวังว่า QT จะผลักดันให้ผลตอนแทนสูงขึ้น ในปี 2013 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เสนอเพียงแค่ลดความรวดเร็วในการเข้าซื้อธนบัตร ตลาดก็ได้รับผลกระทบกับ ‘taper tantrum’ แล้ว ก็คือ ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (บางคนอาจจะแย้งว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะความคาดหวังของตลาดที่มีต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยแบบดั้งเดิมนั้นทำให้เกิดขึ้นจากการประกาศอยู่แล้ว) Fed ได้เริ่ม QT เมื่อปี 2017 แล้วก้อหยุดนโยบายในปี 2019 ด้วยขนาดงบดุล (ที่ประมาณ 4,000 ล้านเหรียญ) ซึ่งก็ยังคงเป็นระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤต และช่วงโรคระบาดก็ยิ่งทำให้ต้องมีนโยบายทางการเงินแบบขยายตัวที่มากขึ้นไปอีก และ QT ก็พึ่งจะมาเริ่มอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายน 2022
จนถึงบัดนี้ มันก็เป็นการยากที่จะประเมินผลกระทบของ QT เนื่องจากว่าทางธนาคารกลางก็ค่อนข้างที่จะไฟแรงกับนโยบายการเงินแบบหดตัวด้วยการทำแบบดั้งเดิมในการผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นนั้นสูงขึ้น พวกเขาก็พยายามตอบโต้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นตามที่รัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของต้นทุนพลังงาน ผลตอบแทนพันธบัตรจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบระหว่างอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยระยะสั้นนั้น ผลกระทบของ QT ที่มีต่อผลตอบแทนพันธบัตรนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเล็กน้อย แต่ธนาคารกลางก็ยังคงต้องมีความระมัดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ QT อาจจะนำไปสู่ความเข้มงวดทางการเงินที่มากเกินควรและทำให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจต่อไปด้วย ผลลัพธ์ก็คือมันเป็นไปได้ที่จะใช้เวลาอีกนานก่อนที่ QT จะเริ่มทำให้งบดุลของธนาคารกลางหดตัวกลับไปสู่ระดับใกล้เคียงกับก่อนวิกฤต
อ้างอิง:
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.