เวลาบริษัทที่ประกอบการทำธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่นั้น ทุกๆบริษัทก็มีอยู่เพื่อแสวงหากำไร (แม้ว่าบริษัทบางประเภทที่มีจุดประสงค์ที่แตกต่างไปจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปกติทั่วไปจะบอกว่าตัวเองเป็น non-profit organisation หรือบริษัทที่ไม่แสวงหากำไร ก็ยังคงต้องมีการทำบัญชีเพื่อรับรู้กำไรขาดทุนของบริษัทอยู่ดี)
อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการประกาศตัวเลขรายได้ของบริษัท Apple ที่คนส่วนใหญ่แทบจะรู้จักกันดี รายได้รายไตรมาสของ Apple ก็ได้ทำสถิติรายรับสูงสุดที่ตัวเลข 100,000 ล้านเหรียญเป็นครั้งแรก (ใครอยากทราบว่าคิดเป็นเงินบาทเป็นเงินเท่าไหร่ก็ลองเอา 30 บาทคูณดูคร่าวๆ)
จากภาพด้านบน จะเป็นข้อมูลอันดับรายได้ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (หน่วยคือ billion dollars หรือ พันล้านเหรียญสหรัฐ) จากอันดับนี้จะเห็นได้ว่าบริษัท Apple แม้ว่าจะมีรายรับอยู่ในอันดับที่ 5 ที่ 294,100 ล้านเหรียญ แต่มีกำไรสุทธิ (net income) อยู่ในอันดับที่หนึ่งเลยทีเดียว โดยบริษัทของปู่วอเรน บัฟเฟต มีรายได้อยู่ที่ 279,200 ล้านเหรียญตามมาติดๆที่อันดับที่ 6 แต่ก็มีกำไรสุทธิรองจาก Apple คือ 35,800 ล้านเหรียญ
ทีนี้เราจะหา net profit margin หรืออัตรากำไรสุทธิของแต่ละบริษัทได้อย่างไร?
สูตรการหาอัตรากำไรสุทธิก็จำง่ายๆเลยก็คือ
(กำไรสุทธิ หารด้วย รายได้รวมทั้งหมด) x 100
ดังนั้นจากตัวอย่างด้านบน หากเราต้องการจะทราบว่าบริษัท Apple นั้นมี Net Profit Margin อยู่ที่เท่าไหร่ เราก็นำกำไรสุทธิ 63,900 / รายได้ทั้งหมด 294,100 = 0.2173 แล้วคูณด้วย 100 ก็จะได้อัตรากำไรสุทธิที่ 21.73% นั่นเอง
ทีนี้เราเห็นแค่นี้เราก็ไม่รู้หรอกว่าไอ่ 21.73% เนี่ยมันเยอะหรือมันน้อย เราก็ต้องนำตัวเลขนี้ไปเทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงกันว่าบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้นมีอัตรากำไรสุทธิแตกต่างกันแค่ไหนเพื่อดูว่าบริษัทนั้นๆมีความสามารถในการทำกำไรดีหรือไม่
อย่างไรก็ดี จากภาพด้านบนก็ไม่มีบริษัทไหนที่ประกอบธุรกิจเหมือน Apple เท่าไหร่และเพื่อให้เห็นภาพชัดๆเราก็ลองคำนวณหาอัตรากำไรสุทธิของบริษัท Amazon ดูกัน โดย Amazon นั้นมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17,400 ล้านเหรียญ รายได้ที่ 347,900 ล้านเหรียญ ดังนั้นอัตรากำไรสุทธิของ Amazon ก็คือ 17,400 / 347,900 x 100 = 5% เท่านั้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ Amazon จะมีรายได้สูงถึง 347,900 ล้านเหรียญมากกว่า Apple แต่มีกำไรสุทธิที่เป็นตัวเงินก้อนรวมและอัตรากำไรสุทธิน้อยกว่า Apple ด้วยซ้ำไป เราก็อาจจะมองได้เบื้องต้นว่า Apple มีการบริหารจัดการได้ดีกว่า สามารถทำราคาขายสินค้าโดยรวมได้ดีกว่า มีต้นทุนการบริหารจัดการต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงสามารถทำกำไรได้สูงกว่า อย่างไรก็ดีการเปรียบเทียบสองบริษัทนี้ก็อาจจะไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ดีนักทีเดียวเนื่องจากทั้งสองบริษัทนั้นมีการทำธุรกิจที่อยู่คนละอุตสาหกรรม แต่ก็เพื่อให้เห็นภาพก็พอกระทำได้
อ้างอิง:
Gross Profit Margin vs. Net Profit Margin (investopedia.com)
https://www.economist.com/business/2021/01/30/apples-quarterly-sales-exceed-100bn-for-the-first-time
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.