เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตกอกตกใจระหว่างกลุ่มนักลงทุนอยู่เรื่องนึง (จริงๆจะว่าไปนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะชาติใดก็มักเป็นกลุ่มคนที่ขี้ตกใจมากกว่าชาวบ้านกลุุ่มอื่นๆอยู่ละ) เหตุการณ์ที่ว่าก็คือการที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันระยะยาว (อายุ 10 ปี) มีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้น (2 ปี)
เครื่องมือกราฟที่ใช้เป็นตัวลางบอกเหตุดังกล่าวก็คือ Inverted yield curve นั่นเอง แล้ว inverted yield curve นี่มันคืออะไรหละ?
ก่อนจะไปถึง inverted (กลับหัว) curve เราไปทำความเข้าใจก่อนว่าแล้วแบบปกติที่ไม่กลับหัวนี่คือยังไง
โดยปกติแล้ว yield curve ปกติ ก็คือการพล็อตกราฟระหว่างระยะเวลาของพันธบัตรรัฐบาลจนถึง maturity (กำหนดไถ่ถอนหรืออายุไถ่ถอนที่เหลือ) ในแกนนอน (x) เทียบกับ อัตราผลตอบแทน (yield) ในแกนตั้ง (y) ซึ่งอัตราผลตอบแทนจะ 2 ปีหรือ 10 ปีนี่ก็คือ yield curve ปกติธรรมดานี่แหละ เราก็จะได้เส้นกราฟออกมา
ทีนี้ลองจินตนาการว่าหากเราเป็นนักลงทุน เราก็ต้องคาดหวังว่าผลตอบแทนระยะยาวเป็น 10 ปี มันต้องได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนระยะสั้นใช่มั้ย?
ลองนึกภาพเวลาคนบ้านๆอย่างเราๆจะเอาเงินไปฝากธนาคารแบบประจำ 3 ปี ก็ต้องคาดหวังว่าผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่จะได้กลับมาเนี่ยมันต้องสูงกว่าการฝากแบบประเภทประจำ 3 เดือนใช่มั้ยละครับ (หากใครได้ดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารแบบประจำ 3 เดือนสูงกว่าประจำแบบ 3 ปีก็แจ้งผมด้วยครับ น่าสนใจมากเลยว่าธนาคารไหนทำแบบนี้)
ทีนี้หากนำกราฟทั้ง 2 เส้น (อายุ 2 ปี กับ 10 ปี) มาเปรียบเทียบกัน โดยเอาผลตอบแทนที่ อายุ 2 ปีลบด้วยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี (ซึ่งปกติต้องติดลบใช่มั้ย) แต่พอสองเส้นมันตัดกัน หรือ inverted โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นแบบ 2 ปี มันสูงกว่าอัตราผลตอบแทนแบบ 10 ปี (ตามกราฟข้างล่าง) ผลลัพธ์ก็จะเป็นบวก มันก็ส่งสัญญาณตามที่นักลงทุนหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) หรือไม่
แล้วทำไมต้องตื่นตัวหรือกังวล? นอกจากว่ามันก็ทะแม่งๆหากเราได้ดอกเบี้ยฝากประจำแบบ 3 ปี น้อยกว่าฝากประจำแบบ 3 เดือนอ่ะเนาะ จากกราฟด้านล่างจะเห็นว่าในอดีตนั้นเวลาเกิดเหตุการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย yield curve ของผลตอบแทนระหว่างอายุ 2 ปีและ 10 ปีนั้นมันเคยตัดกันมาแล้วหนะสิ! (ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอดีต แสดงในกราฟด้านล่างคือแถบๆเทาๆแนวตั้งนั่นละครับ ส่วนวงกลมสีแดงคือจุดที่เกิด inverted yield curve)
เขาบอกว่าสมองมนุษย์เราพอเห็นอะไรซ้ำๆรูปแบบเดิมๆเกิน 3 รอบก็คิดว่ามันต้องเป็นรูปแบบหรือ pattern ที่สมองเราจะมองหาเสมอ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน
แล้วมันบอกอะไรนักลงทุนบ้านๆแบบเราๆหละครับ? ก็คงต้องใช้สติในการไตร่ตรองตัดสินใจก่อนลงทุนอะไรต่างๆกันเช่นเคยแหละครับ พยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด อย่าเพียงแค่ฟังใครมา หุ้นลงเยอะแล้วเหมาะเข้าซื้ออะไรแบบนั้น เพราะจากประสพการณ์ หุ้นมันลงไปได้เรื่อยๆแหละครับ ไม่ว่าเราจะ cut loss หรือไม่ก็ตาม วันนี้คิดว่าต่ำสุดแล้ว พรุ่งนี้ก็ลงอีกได้ ฉะนั้นหาเหตุผลในการซื้อทุกครั้งครับว่าทำไมต้องซื้อ
อ้างอิง:
https://www.economist.com/the-world-this-week/2019/08/15/business-this-week
blenlit
hakwamroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.