ยินดีต้อนรับสู่ผลกระทบจาก Mona Lisa
The Economist April 17th 2023
Mona Lisa กำลังทำอะไรอยู่? หากมองแว๊บแรกกับภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกก็อาจจะดูเหมือนว่านางกำลังยิ้มอยู่ แต่ถ้าลองมองอีกทีก็จะเห็นว่ารอยยิ้มของเธอนั้นจางหายไป และเมื่อรอยยิ้มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มันก็จะเป็นรอยยิ้มอีกแบบนึงไป Leonardo da Vinci สามารถทำสิ่งที่กำกวมแบบนี้ได้ด้วยการใช้ sfumato ด้วยการที่เขาทำเส้นวาดรอบๆใบหน้าของ Mona Lisa ให้เบลอๆเข้าไว้ ไม่ว่าคุณจะมองภาพกี่ครั้ง คุณก็จะยังไม่มั่นใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
เศรษฐกิจภายหลังจากโรคระบาดในตอนนี้ก็เหมือนกันกับ Mona Lisa แต่ละครั้งที่คุณมอง คุณก็จะเห็นอะไรที่แตกต่างออกไป หลังจากความโกลาหลในอุตสาหกรรมธนาคาร นักวิเคราะห์หลายๆคนตอนนี้ก็มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังไปในทิศทางเศรษฐกิจถดถอยที่รวดเร็วรุนแรง หรือที่เรียกว่า “hard-landing” น้อยคนนักที่จะคาดหวังว่ามันจะเป็นสถานการณ์แบบ ‘no-landing’ หรือก็คือภาวะที่เศรษฐกิจยังคงไม่สะทกสะท้านกับการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยซึ่งก็เป็นความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และถูกแทนที่ด้วยมุมมองส่วนใหญ่ปลายปีที่แล้วว่าเศรษฐกิจถดถอยแบบอ่อนๆนั้นค่อนข้างจะแน่นอน
สั้นๆก็คือ การคาดการณ์นั้นก็ไม่ได้เพิ่มหนักขึ้น เมื่อปีที่แล้วความคาดหวังของนักวิเคราะห์หลายๆคนที่มีต่ออัตราการเจริญเติบโตของ GDP รายไตรสมาสนั้นห่างกันกับปี 2019 ถึงสองเท่า คำว่า ‘ไม่แน่นอน’ เกิดขึ้นมากกว่า 60 ครั้งจากมุมมองเศรษฐกิจโลกล่าสุดของ IMF ซึ่งก็เป็นสองเท่าในเดือนเมษายนและตุลาคมปี 2022 และเมื่อความตื่นตระหนกของวงการแบงค์เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครมีความคิดแม้แต่น้อยว่าธนาคารกลางของสหรัฐหรือ Fed เนี่ยจะทำยังไงกับอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม นักลงทุนบางคนคาดว่าดอกเบี้ยจะสูงขึ้น บางคนบอกไม่เปลี่ยนแปลง และบางคนก็บอกว่าจัดลดดอกเบี้ยลง และการประชุมสองสามครั้งถัดไปก็ไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้พอๆกัน ทางฟาก EU จากการประชุมนโยบายทางการเงินล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ประธานของธนาคารกลาง EU นาง Christine Lagarde ก็บอกมาทื่อๆเลยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันของนางว่า ‘มันเป็นไปไม่ได้ในจุดนี้ที่จะกำหนดว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร’
นักสถิติอย่างเป็นทางการก็ค่อนข้างจะดิ้นรนที่จะเข้าใจภาพว่าเป็นอย่างไร พวกเขาอัพเดทประมาณการณ์ของทุกอย่างตั้งแต่ GDP ยังอัตราจ้างงาน เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเข้ามา แต่บางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว การทบทวนแก้ไข GDP ในกลุ่มประเทศยูโรนั้นมีตัวเลขมากกว่าปกติถึง 4 เท่า และเมื่อเดือนมีนาคม สำนักสถิติของอังกฤษก็ได้ออกตัวเลขที่มีการทบทวนเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตัวเลขที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าการลงทุนที่แท้จริงของธุรกิจนั้นค่อยข้างจะอยู่ในแนวเดียวกันกับระดับตัวเลขก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ไม่ใช่ต่ำกว่า 8% อย่างที่เชื่อก่อนหน้านี้ เดือนที่แล้วนักสถิติของออสเตรเลียก็ตัดตัวเลขประมาณการณ์การเจริญเติบโตของประสิทธิผลลงครึ่งนึงในไตรมาสที่สามของปี 2022 ในปีนั้นสำนักสถิติแรงงานของอเมริกาก็ออกตัวเลขแก้ไขประมาณการณ์บัญชีเงินเดือนที่เป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม (ไม่ได้ปรับผลของการขึ้นลงตามฤดูกาล) อยู่ที่ 59,000 บัญชีต่อเดือน ระหว่างประมาณการณ์ครั้งแรก และครั้งที่สาม เมื่อเทียบกับ 40,000 ในปี 2019
มันเกิดอะไรขึ้น? บางทีโลกก็อาจจะแค่มีความผันผวนมากขึ้น เมื่อปีที่แล้วยุโรปก็ได้ประสพกับสงครามที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี ห่วงโซ่อุปทานได้รับผลกระทบ วิกฤตพลังงาน และความตื่นตระหนกในวงการธนาคาร ในส่วนที่เหลือของประเทศที่ร่ำรวยก็แค่มีเสถียรภาพมากกว่านิดหน่อย
แต่มันก็อมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ลึกกว่านั้นอยู่ อย่างแรก็เกี่ยวข้องกับผลกระทบจาก covid-19 ทั้งโลกเซถลาจากภาวะถดถอยไปสู่การพุ่งขึ้นของการเจริญเติบโตตามที่ล็อคดาวน์มาแล้วก็ไป นี่ส่งผลรุนแรงต่อ ‘การปรับตัวทางฤดูกาล’ ที่เกิดขึ้นปกติต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ เมื่อเดือนกุมภา สำนักสถิติแรงงานก็เปลี่ยนปัจจัยที่ใช้กับอัตราเงินเฟ้อซึ่งทำให้การประเมินตัวเลขรายเดือนนั้นยากกว่าเดิมมาก ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานรายปีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 นั้น ‘เพิ่มขึ้น’ จาก 3.1% ไปเป็น 4.3% และมันก็ยากกว่าปกติที่จะเข้าใจอัตราเงินเฟ้อของประเทศกลุ่มยูโร Kamil Kovar จาก Moody’s Analytics บริษัทที่ปรึกษา โน้ตว่ามันอยู่ที่ว่าการปรับผลตามฤดูกาลนั้นมีการปฏิบัติกันอย่างไร อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานรายเดือนต่อเดือนในเดือนมีนาคมก็จะต่ำประมาณ 0.2% หรือสูงได้ประมาณ 0.4%
การเปลี่ยนแปลงอย่างที่สองคือขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โรคระบาดนั้นเร่งแนวโน้มที่ว่าคนที่ไม่ได้ตอบสนองต่อตัวเลขการสำรวจอย่างเป็นทางการนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกานั้นอัตราการตอบสนองต่อการสำรวจเคยประเมินตำแหน่งว่างนั้นตกลงจากเกือบ 60% ก่อนโรคระบาดมาอยู่ที่ประมาณ 30% และเมื่อโควิดมา อัตราการตอบสนองต่อสำรวจของทีมแรงงานของอังกฤษนั้นก็ตกลงประมาณครึ่งหนึ่ง ช่วงล็อคดาวน์ ธุรกิจบางธุรกิจก็ปิดตัวลง คนก็เริ่มจะไม่ค่อยกรอกแบบสำรวจ ความไม่เชื่อใจในรัฐบาลก็อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนก็เอียงไปทางไม่อยากจะช่วยนักสถิต
อัตราการตอบสนองที่ลดลงนั้นอาจจะทำให้เกิดความผันผวนของข้อมูลมีสูงขึ้น และมันก็อาจจะนำไปสู่ความมีอคติ คนที่เลิกตอบสนองต่อสำรวจก็ดูเหมือนว่าจะรุ่งเรืองน้อยกว่าคนที่ยังทำอยู่ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ผิดเพี้ยน Jonathan Rothbaum จากสำนักสำมะโนประชากรแนะว่า ค่ากลางที่แท้จริงของการเติบโตของรายได้ในอเมริกาจากปี 2019 ไป 2020 นั้นคือ 4.1% ไม่ใช่ 6.8% อย่างที่รายงานในตอนแรกหลังจากที่แก้ไขกลุ่มที่ไม่ตอบสนองแล้ว ตั้งแต่ปี 2020 กลุ่มที่ไม่ตอบสนองก็ส่งผลให้รายได้ทางสถิตินั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 2% รายงานจาก Inflation Insights บริษัทที่ปรึกษา โดย Omair Sharif แนะว่าการแก้ไขข้อมูลที่เอียงจากกลุ่มที่ไม่ตอบสนองนั้นอาจะส่งผลต่อการแก้ไข้ครั้งใหญ่ของข้อมูลรายได้ของชาวอเมริกันเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้
เหตุผลที่สามสำหรับความสับสนนี้ก็มาจากความเหลื่อมล้ำของข้อมูลที่ ‘ชัดเจน’ และ ‘ไม่ชัดเจน’ การวัดค่าอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่างเช่นระดับของการว่างงาน และการวัดที่ค่อนข้างนามธรรมอย่างความคาดหวังของคนในอนาคต โดยปกติแล้วข้อมูลทั้งสองประเภทนี้จะไปในทางเดียวกัน แต่ตอนนี้มันค่อนข้างจะไปคนละทิศละทาง ตัวเลขที่ไม่ชัดเจนดูเหมือนจะออกไปแนวทางภาวะถดถอย ในขณะตัวเลขที่ชัดเจนนั้นกลับบอกว่ามีการขยายตัวพอสมควร การแยกทางนี้อาจจะสะท้อนถึงความหงุดหงิดใจของคนที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าของโลกประเทศร่ำรวยนั้นจะคงเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี
นักลงทนและนักสถิติก็จะมีความเข้าใจต่อเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นเองระหว่างช่วงที่มีความผันผวนและเงินเฟ้อ และเมื่ผผลของโรคระบาดค่อยๆจากลง ความผิดเพี้ยนต่อการปรับตามฤดูกาลก็จะน้อยลงด้วย นักเศรษฐศาสตร์ก็มีความคืบหน้าในการรวบรวมข้อมูลทางเลือกอื่นๆเข้าไปในการประมาณการณ์ด้วย เพื่อที่จะช่วยให้เอาชนะถึงปัญหาจากการที่ไม่มีส่วนร่วม่ตอบสนองของคน แต่นี่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลและธุรกิจสบายใจขึ้นนักเพราะต้องตัดสินใจตอนนี้แล้ว หรือสำหรับคนที่ต้องการแค่จะพยายามตามข่าวให้ทัน ก็คงไม่น่าแปลกใจถ้าเศรษฐกิจโลกจะยังคง sfumata ไปอีกสักพัก
อ้างอิง:
How to explain the puzzle of the world economy | The Economist
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.