เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราพูดถึงนักลงทุนคนนึงที่หลายคนไม่เคยได้ยินมาก่อนคือ Jim Simons ที่หากดูจากผลตอบแทนกองทุนของเขาแล้วก็ติดอันดับนักลงทุนสูงสุดตลอดกาล มาสัปดาห์นี้ มีข้อมูลที่น่าตื่นเต้นออกมาอีกเกี่ยวกับนักลงทุนผู้นี้
ก็คือกองทุนที่ลึกลับมูลค่า 120,000 ล้านเหรียญนี้ที่ก่อตั้งโดย Jim Simons (นักถอดรหัสช่วงสงครามเย็นและศาสตราจาร์ยทางคณิตศาสตร์) ได้เอาชนะผลงานของวอเรน บัฟเฟตอย่างท่วมท้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
Renaissance Technologies ที่ก่อตั้งโดย Jim Simons นั้นรวม Chipotle และ Facebook เข้าไปอยู่ในกลุ่มการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของกองทุนนี้ ผลประกอบการที่กองทุนสามารถทำได้ (หลังหักค่าธรรมเนียมต่อปีแล้ว) นั้นสูงถึง 39% ต่อปีเลยทีเดียวระหว่างปี 1988 ถึง ปี 2018
กองทุนที่ว่าก็คือกองทุน Medallion (จากหนังสือ “The Man Who Solved The Market: How Jim Simons launched the Quant Revolution” หนังสือใหม่โดย Greg Zuckerman)
ผลตอบแทนที่ 39% ต่อปี (66% ก่อนค่าธรรมเนียม) นั้นเอาชนะผลตอบแทนต่อปีประมาณ 16% ของ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett และ 10% ต่อปีจากดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกันเลยทีเดียว
ผลตอบแทนอันยอดเยี่ยมของกองทุน Medallion นี้แปลว่าหากคุณลงทุน 1 ดอลลาร์ในกองทุนนี้เมื่อปี 1988 มันจะกลายเป็น 27,000 ดอลลาร์ (หักค่าธรรมแล้ว) ในช่วงสิ้นปี 2018 เลยทีเดียว ทำให้ผลตอบแทน 107 ดอลลาห์ของปู่วอเรน และ 20 ดอลล่าห์จากดัชนี S&P500 ดูจิ๊บจ๊อยไปเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี แม้ว่ากองทุน Medallion นั้นจะถูกจำกัดให้กับเฉพาะพนักงานของ Renaissance ก็ตาม แต่รูปแบบการลงทุนของกองทุนที่มีผลตอบแทนอันยอดเยี่ยมนี้ก็น่าที่จะศึกษาอยู่ไม่น้อย
และนี่คือ 10 การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของกองทุน โดยข้อมูลได้มาจากการรายงานต่อ กลต. ของอเมริกา โดยข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 30 กันยนยน
1. Bristol-Myers Squibb
นี่คือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดที่ Renaissance ถืออยู่ มีมูลค่าถึง 1,660 ล้านดอลล่าห์ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านยาที่รักษามะเร็ง เอดส์หรือเอชไอวี โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยต่างๆ
2. Chipotle Mexican Grill
Renaissance ถือหุ้นมูลค่า 1,610 ล้านดอลลาห์อยู่ในบริษัทนี้ เป็นเครือข่ายร้านอาหารเม็กซิกันแบบเร่งด่วนนั่งสบายๆ ซึ่งมีสาขามากกว่า 2,500 สาขา ซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาจากปัญหาหลายๆอย่างเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
3. Verisign
Simons และทีมของเขาถือหุ้นมูลค่า 1,560 ล้านดอลล่าห์ในบริษัทนี้ ซึ่งทำเกี่ยวกับโครงสร้างในการจดทะเบียนสำหรับโดเมนต่างๆรวมไปถึง .com และ .net
4. Celgene
Renaissance ถือหุ้นมูลค่า 1,540 ล้านดอลลาห์ในบริษัทนี้ บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพหรือ biotech ที่พัฒนายาสำหรับรักษาโรคมะเร็งและโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางผิวหนังต่างๆ Celgene นั้นคาดหวังจะถูกเข้าซื้อโดย Bristol Myers-Squibb ซึ่งก็คือบริษัทที่กองทุนถือหุ้นอยู่และมีมูลค่าสูงที่สุดนั้นเอง
5. Novo Nordisk
Novo Nordisk เป็นบริษัทสัญชาติเดนมาร์กที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับด้านยาเช่นกัน สำหรับโรคเบาหวาน โรคเลือดไหลไม่หยุด ความเจริญเติบโตทางร่ายกายที่ผิดปกติ โรคอ้วน และโรคเรื้อรังต่างๆ Renaissance นั้นถือหุ้นมูลค่า 1,280 ล้านดอลลาห์ในบริษัทนี้
6. Palo Alto Networks
Renaissance ถือหุ้น 1,190 ล้านดอลลาห์ใน Palo Alto Networks บริษัทที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในโลกอินเตอร์เน็ต เช่น firewalls, ความปลอดภัยของเครือข่าย การวิเคราะห์การคุกขามเกี่ยวกับคลาวด์ และเครื่องมือธุรกิจด้านซอฟท์แวร์ต่างๆ
7. Biogen
Biogen พัฒนาเกี่ยวกับการรักษาโรคพากินสัน อัลไซเมอร์ โรคเส้นเลือดตีบ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับระบบประสาท โดย Renaissance ถือหุ้นมูลค่า 983 ล้านดอลลาห์8. Vertex Pharmaceuticals \
Renaissance มีหุ้นอยู่มูลค่า 982 ล้านดอลลาห์ บริษัทที่ผลิตยาเพื่อรักษาโรคปอดเรื้อรัง เอชไอวี โรคตับอักเสบซี โรคมะเร็ง และโรคความเจ็บป่วยต่างๆ
9. Gilead Sciences
Gilead Sciences ผลิตยาต่อต้านไวรัสเพื่อรักษา เอชไอวี ตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ และโรคพยาธิอื่นๆ Renaissance ถือหุ้นมูลค่า 934 ล้านดอลลาห์
10. Facebook \
มาถึงอันดับ 10 นี่ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักบริษัทนี้ Renaissance นั้นค่อยๆสะสมหุ้นใน Facebook มาเรื่อยๆซึ่ง ณ บัดนี้ก็ถือหุ้นรวมแล้วมูลค่าเท่ากับ 880 ล้านดอลลาห์ Facebook นั้นเป็นเจ้าของทั้ง WhatsApp และ Instagram รวมไปถึง Oculus ซึ่งทำที่สวมใส่ศรีษะสำหรับอุปกรณ์ Virtual Reality (VR)
จากที่เป็นความลับมาเนิ่นนานว่ายังมีนักลงทุนที่เอาชนะตลาดได้ไม่พอ (S&P 500) ก็ยังมีคนเอาชนะปู่วอเรนและได้อย่างท่วมท้นอีก
แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากการจำกัดการลงทุนเฉพาะพนักงานของ Renaissance เองทำให้กองทุนอาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และยิ่งประสพความสำเร็จทำผลประกอบการได้มากกว่าดัชนีมาตรฐานอย่างมากมายนั้น ก็ไม่แปลกใจนักที่หลายๆคนจะไม่รู้จักคนคนนี้กับกองทุนที่เขาบริหารมาเนิ่นนาน โลกแห่งการลงทุนนี่มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอดเวลาจริงๆ
ท่านใดสนใจในรายละเอียดที่มากขึ้นก็สามารถหาหนังสืออ่านได้ตามชื่อหนังสือที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ครับ
อ้างอิง:
blenlit
hakwamroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.