สิ่งหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในชีวิตของคนเราอย่างนึงก็คือการที่เราสามารถใช้เงินที่ไม่ใช่ของเราได้ ตลาดการเงิน (financial markets) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถยืมเงินได้ บางครั้งมันก็คือบัตรเครดิตที่หลายๆคนมีกันคนละหลายๆใบ (เคยเจอบางคนมีเป็นสิบใบเลยทีเดียว)
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถบริโภคได้ในวันนี้แม้เราจะยังไม่มีรายได้เข้ามาในอีกหลายเดือนข้างหน้า (หรือบางคนก็อาจเป็นปีเลยทีเดียว) ซึ่งภาพรวมก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ การกู้ยืมก็เป็นการส่งเสริมการลงทุนได้ในหลายๆอย่างเช่นกัน
เรากู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เพื่อซื้อบ้าน เพื่อซื้อรถ เราเปิดร้านอาหาร เราสร้างโรงงานก็เพื่อทำธุรกิจ บางสิ่งบางอย่างทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นแม้ว่าเราต้องเสียต้นทุน(ดอกเบี้ย) ไปในการกู้ยืมก็ตาม
บางครั้งเราสามารถเพิ่มทุนได้โดยไม่ต้องกู้ยืม เช่น การขายหุ้นของบริษัทบางส่วนออกไปให้กับผู้อื่น ก็คือเราแลกเปลี่ยนความเป็นเจ้าของ (ownership) ซึ่งก็คือกำไรในอนาคตที่จะได้เพื่อได้เงินสดมาในวันนี้
บริษัทต่างๆหรือรัฐบาลอาจออกขายพันธบัตร(bond) เพื่อเพิ่มทุนได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่เราทำกันอยู่แล้วเช่น การกู้ซื้อมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ ไปจนถึงการกู้เงินระหว่างประเทศ
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือ คนส่วนใหญ่กู้หมด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา บริษัท หรือรัฐบาล ก็เพื่อที่จะทำอะไรสักอย่างในวันนี้ที่ยังไม่สามารถจ่ายได้ แต่มันก็มีต้นทุน ซึ่งหากไม่มีตลาดการเงิน เราก็คงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคนี้ต้องพึ่งพาเครดิต หลายๆฝ่ายในระดับประเทศเริ่มเห็นด้วยกับการปล่อยเครดิตให้กับรายย่อย (microfinance) แม้ว่าจะเป็นเงินแค่ 1,000-3,000 บาทก็ตาม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยต่อสู้กับความยากจนในหลายๆพื้นที่ (สำหรับกลุ่มอิทธิพลปล่อยเงินกู้นอกระบบที่เรียกเก็บดอกเบี้ยปีละ 20-30% อันนั้นเป็นการกระทำที่เกินควรและไม่ได้นับรวมนะครับ)
นอกจากเราต้องหัดกู้ให้เป็นแล้ว เราก็ต้องรู้จักปกป้องเงินและลงทุนให้ถูกด้วยเพื่อที่จะรักษาและเพิ่มพูนเงินทุนที่เราได้มา หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินหรือเห็นคุณปู่คุณย่าเราเก็บเงินไว้ใต้เตียง ในตู้กับข้าว หรือแม้แต่ในโอ่ง ด้วยความคิดที่ว่าไม่ไว้ใจธนาคารหรือกลัวเงินจะถูกขโมยไปกันบ้างเนาะ
จริงๆแล้ว นอกจากแมลงที่จะมากัดกินเงินที่ท่านเก็บไว้แล้ว ต่อให้รักษาดีขนาดไหน สิ่งที่ร้ายกว่าแมลงเหล่านั้นก็คือ เงินเฟ้อ (inflation) นี่แหละ สมมุติค่าเฉลี่ยเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5% ต่อปีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เงิน 100,000 บาทที่เก็บไว้ในตู้กับข้าวนั้น วันนี้ก็จะมีมูลค่าเหลือแค่ 74,247 เท่านั้นเองครับ นอกจากมันจะไม่เพิ่มขึ้นแล้วมูลค่ามันยังหายไปอีกเยอะเลย
ดังนั้นแล้ว ตลาดการเงินก็เป็นมากกว่าการย้ายเงินจากคนรวย(กว่า) ไปสู่คนที่มีน้อย(กว่า)ทุกๆคน ด้วยการที่ว่ามันช่วยให้เรามีการบริโภคที่ต่อเนื่องและราบรื่นตลอดช่วงชีวิตของเรา ก็คือใช้ก่อนจ่ายทีหลังนั่นแหละเนาะ (เป็นหนี้) แต่จะให้ดีควรจะมีรายได้ก่อนแล้วใช้ทีหลังดีกว่า (ก็คือเป็นเงินเก็บสะสม) นำไปสู่ชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงมากขึ้น
การทำประกันเพื่อลดความเสี่ยงในด้านต่างๆก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน เราเดินข้ามถนนใต้ทางม้าลาย ปั่นจักรยานริมถนนใหญ่ เผลอหลับในอ่างน้ำ ยังไม่รวมถึงการปีนเขา ไต่ผา การดื่มเบียร์ดื่มเหล้า อะไรทั้งหลายๆแหล่ที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของเรา ภัยธรรมชาติ การเจ็บป่วยหรือพิการ สิ่งเหล่านี้ย่อมนำหายนะมาสู่ชีวิตของเรา
ตลาดการเงินช่วยให้เราสามารถผ่อนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นเบาได้ ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือประกันรถเรานี่แหละ ประกันชีวิตเอย ประกันภัยเวลาเดินทางไปต่างประเทศเอย และที่มีความนิยมเพิ่มมากขึ้นก็คือประกันสุขภาพที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้แล้ว
หลายคนได้ยินคำว่าประกันนี่ก็แหยงละ กลัวโดนหลอกบ้าง กลัวจ่ายฟรีไม่คุ้มค่าบ้าง กลัวตัวแทนไม่ดูแลจริงๆจังๆเวลาเกิดปัญหาบ้างไรบ้าง แน่นอน ไม่ว่าจะประกันอะไร ประกันก็ยังเป็นธุรกิจ ประกันก็ต้องคาดหวังว่าจะได้เงินจากเรามากกว่าที่เราทุกคนจะได้จากประกัน ไม่งั้นก็คงไม่มีบริษัทประกันไหนอยู่รอด
แต่เราจ่ายประกันเพื่อลดความเสี่ยงที่รุนแรงที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ ไม่ได้จ่ายเพื่อค่าเฉลี่ยว่าสิ่งที่เราทำประกันนั้นเราต้องคุ้มค่าเท่ากับที่เราจะได้จ่ายหากเกิดเหตุกาณ์ไม่คาดฝันจริงๆ
เช่น เราทำประกันสุขภาพเพื่อลดค่ารักษาที่แสนแพงที่จะเกิดจากโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง แน่นอนความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งกับเราอาจจะคิดว่ามันอาจจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราก็ลดค่าใช้จ่ายได้มาก ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุการณ์ทีเราก็ต้องหาขายรถขายบ้านเพื่อมาจ่ายค่ารักษาอันแสนแพงในสมัยนี้
หรือการจ่ายประกันน้ำท่วมหรือไฟไหม้บ้านก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนที่ชีวิตนี้จะมีบ้านได้หลายหลังในชีวิตนึง (ใครมีหลายหลังก็ถือว่าชีวิตท่านโชคดีมากครับ) ดังนั้นแม้ว่าโอกาสจะเกิดน้ำท่วมบ้านหรือไฟไหม้บ้านจะมีน้อยกว่าค่าเฉลี่ย แต่ถ้าหากเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราก็คงไม่สามารถจะควักกระเป๋าซื้อบ้านใหม่กันได้ทันทีอ่ะเนาะ
สรุปแล้ว ตลาดการเงินมีประโยชน์มากกว่าที่กล่าวไปทั้งหมด แต่เราต้องใช้เครดิตให้เป็นให้เหมาะสมกับความสามารถในการหาเงินของเราในอนาคตด้วย โดยเฉพาะคนที่ชอบนำเครดิตที่ได้มาไปใช้กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ไม่พอ ยังใช้มากกว่ากว่าเงินในอนาคตที่จะเข้ามาอีกด้วย อย่างนี้แล้วก็อาจจะต้องเป็นหนี้ไปตลอดก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่มีแรงยามแก่หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ก็คงจะไม่โสภาสักเท่าไหร่ครับ
blenlit
Hakwamroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.