เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสนั่งวิเคราะห์หุ้นตัวนึงในตลาดหลักทรัพย์ของเรา ปรากฏว่ามีข้อสังเกตอยู่อย่างนึงคือในบริษัทนี้มีเงินสดหรือเงินลงทุนระยะสั้น (cash and short term investments) ที่ 877 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเงินสดต่อหุ้นที่ 2.92 บาท แต่ราคาหุ้นนั้นอยู่ที่ 2.60-2.70 บาทเท่านั้น (จากหุ้นที่ออกและชำระแล้ว 300 ล้านหุ้น)
ซึ่งก็ทำให้น่าสงสัยว่าแบบนี้มันแปลว่าอะไรเนี่ย ราคาหุ้นถึงกลับมีมูลค่าต่ำกว่าเงินสดในบริษัทด้วยซ้ำ และบริษัทนี้ก็ไม่ได้มีหนี้ระยะยาวอะไรด้วย ดูแค่นี้มันก็ยั่วยวนให้ซื้อมากเลยใช่มั้ยครับ ประหนึ่งเอาแบงค์ร้อยแล้วมาถามว่าใครสนใจจะซื้อแบงค์ร้อยนี้ที่ราคา 92 บาทบ้าง (ราคาหุ้นต่ำกว่าเงินสดต่อหุ้นประมาณ 8%)
แต่ช้าก่อน…เมื่อสงสัยก็ต้องศึกษาหาความรู้ โดยจากเว็บไซท์การลงทุนยอดฮิตอย่าง investopedia.com ได้พยายามอธิบายเอาไว้ว่า โอกาสที่เงินสดต่อหุ้นของบริษัทมีมูลค่ามากกว่าราคาหุ้นของตัวบริษัทเองนั้นมักจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่าใดนัก และควรต้องถอยออกมาก่อนสักก้าวเพื่อพิจารณาปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย
อย่างแรกเลยก็คือ เงินสดสุทธิต่อหุ้น (net cash per share) โดยให้ใช้เงินสดทั้งหมดที่มีอยู่ในบริษัทหักออกด้วยหนี้ก่อน เนื่องจากว่าแม้ว่าเงินสดจะดูมีมูลค่าสูงแต่หากบริษัทต้องล้มเลิกกิจการไป บริษัทก็ต้องจ่ายหนี้ก่อนถึงจะนำเงินไปใช้คืนผู้ถือหุ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินสดสุทธินั้นไม่ได้พิจารณารวมถึงมูลค่าของสินทรัพย์อื่น เช่น สินค้าคงคลัง
แล้วเมื่อไหร่ที่ราคาหุ้นจะมีการซื้อขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเงินสดของบริษัทละ?
แม้ว่ากรณีแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่ investopedia ได้อธิบายไว้ว่ากรณีเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในสภาวะดังต่อไปนี้
- ในภาวะตลาดกระทิง (bullish markets) นักลงทุนนั้นพร้อมที่จะจ่ายแพงขึ้นสำหรับราคาหุ้น ทำให้ปกติแล้วราคาหุ้นก็จะไม่มีมูลค่าต่ำกว่าเงินสด แต่ในสภาวะที่ตลาดหดตัวหรือภาวะตลาดหมี (bear market) เนื่องจากจะมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นนั้นลดต่ำลง ทำให้ไม่แปลกนักหากจะเจอหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าเงินสดของบริษัท
- หุ้นที่มีเงินสดสุทธิสูงกว่าราคาหุ้นนั้นอาจจะเกาะกลุ่มกันอยู่ในบางอุตสาหกรรมหรือบางเซคเตอร์ ถ้านักลงทุนมีมุมมองที่ค่อนข้างกังวลต่ออนาคตของเซคเตอร์นั้นๆ (ที่เกิดกับตลาดบ้านเราในสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยก็คือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เราจะเห็นว่าหุ้นหลายๆตัวนั้นมีมูลค่าลดต่ำลง เช่น AP และ SPALI ที่มูลค่าตกลงมากกว่า 20% เลยทีเดียวในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากกังวลต่ออนาคต และกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการวางเงินดาวน์ในการซื้อที่อยู่อาศัยที่พึ่งออกมา)
- บริษัทที่ต้องใช้อัตราเงินสดเยอะๆ (burn rate) ในการดำเนินกิจการก็อาจมีราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเงินสดได้ ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดได้ว่า บริษัทนั้นๆอาจมีเงินสดเพียงพอในอนาคตเพียงไม่กี่ไตรมาสเท่านั้น
- และหากมีความไม่แน่นอนอย่างมากในการประเมินทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทนั้นๆ ก็อาจทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดของบริษัทได้ เช่น กรณีสถาบันการเงินและธนาคารต่างๆในช่วงปี 2008.
หุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าเงินสดสุทธินั้นก็อาจจะเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจจริงๆก็ได้ในสถานการณ์ที่นักลงทุนมีมุมมองต่อหุ้นตัวนั้นๆมากเกินไป อย่างไรก็ดีมันก็อาจเป็นหุ้นที่เป็นกับดักซึ่งอาจจะมีแนวโน้มธุรกิจที่ไม่ดีจริงๆก็ได้ และหากไม่สามารถหาเงินมาต่อยอดทางธุรกิจได้ หรืออาจจะมีหนี้รออยู่ในอนาคตอันใกล้นี้ที่ถึงกำหนดจะต้องชำระ
อ่านไปอ่านมาก็เหมือนไม่มีอะไรแน่นอนเนาะ แล้วจะลงทุนเมื่อไหร่ดีหละหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้?
โดยทั่วไปแล้ว มันจะเป็นการดีที่จะลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าเงินสดในกรณีที่บรรยากาศการลงทุนทั่วไปเป็นบวก และเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้น โดยหากเป็นช่วงเริ่มต้นของตลาดกระทิงได้ก็จะดีมากก่อนที่หุ้นตัวนั้นจะดึงดูดนักลงทุนแล้วทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปก่อน
อย่างไรก็ตาม หุ้นส่วนใหญ่ที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดของตัวมันเองนั้นก็มักจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำ (small market capitalisation) และมักจะถูกเพิกเฉย หรือถูกลืมโดยตลาด และบริษัทที่มีมูลค่าตลาดต่ำนั้นก็มีความเสี่ยงในตัวมันเอง นักลงทุนที่สนใจในหุ้นเหล่านี้จึงต้องรับความเสี่ยงให้ได้ เพราะหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีก็มักจะไม่มีราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเงินสดนานนักหรอก
ดังนั้นแล้ว แม้แว๊บแรกอาจจะดูน่าสนใจที่เราเจอหุ้นที่มีมูลค่าเงินสดสูงกว่าราคาหุ้นของตัวมันเองและมันก็อาจจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจจริงๆก็ได้ อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์แบบละเอียดและครอบคลุมเกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินตัวอื่นๆนั้นก็ยังเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินมูลค่าหุ้นก่อนที่จะตัดสินใจว่าหุ้นนั้นน่าสนใจจริงๆหรือแค่เป็นภาพลวง
อ้างอิง:
https://www.investopedia.com/articles/stocks/09/companies-trade-for-less-than-cash.asp
blenlit
hakwamroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.