รายการนี้ในงบดุลที่เรียกว่าเงินสด (cash) รายการเทียบเท่าเงินสด (cash equivalents) หรือเงินลงทุนระยะสั้น (short term investments) นั้นจริงๆก็ค่อนข้างชัดเจนในชื่อของมันเองว่าบริษัทนี้ถือเงินสด(หรือเทียบเท่าเงินสด)ในมือ (cash on hand) อยู่เท่าไหร่
เงินสดนั้นคาดว่าคงไม่มีใครสงสัยว่ามันคืออะไร แต่รายการ “เทียบเท่า” เงินสดเนี่ยมันคืออะไรกัน แบบไหนกันที่จะเรียกว่าเทียบเท่าเงินสด
โดยปกติแล้วรายการเทียบเท่าเงินสดก็จะมี ใบสำคัญการฝากเงิน (certificates of deposits), เงินกู้เผื่อเรียก (call loans), และ หลักทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้แบบรวดเร็ว (marketable securities)
ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วรายการเทียบเท่าเงินสดเหล่านี้ค่อนข้างถือว่ามีสภาพคล่องที่สูงและสามารถเทียบเคียงและพิจารณาว่าเป็นเงินสดได้ เนื่องจากมีตลาดและมีราคารองรับในการเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดทันที
อย่างไรก็ดีบางบริษัทนั้นมีเงินสดในมือเยอะๆ เมื่อเทียบเป็นมูลค่าเงินสดต่อหุ้นก็เผลอๆจะมากกว่าราคาหุ้นของบริษัทเองเสียอีก (เงินสดต่อหุ้นก็คือ ให้เอาเงินสดทั้งหมดหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด)
ซึ่งการมีเงินสดเยอะๆในบริษัทนั้นก็ดูเหมือนว่าจะดี ดูเหมือนมีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูง แต่ในการดำเนินธุรกิจ การถือเงินสดมากเกินไป ซึ่งก็คือมีจำนวนมากกว่าที่บริษัทจำเป็นที่จะใช้ในการดำเนินกิจการปกตินั้นอาจหมายความว่าบริษัทไม่สามารถนำเงินสดที่มีอยู่ไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์มากกว่าการที่จะให้มันอยู่เฉยๆได้
ไม่ว่าจะเป็นการขยายกิจการ การลงทุนในการทดลองและค้นคว้า บางบริษัทเห็นว่ามีเงินสดเยอะก็หาเรื่องไปเข้าซื้อกิจการอื่นๆอีก ซึ่งก็จะทำให้มูลค่าต่อหุ้นลดลงด้วยซ้ำเพราะกิจการดีๆไม่ได้มีให้ซื้อได้เสมอไป
บางบริษัทก็อาจจะแปลงสภาพเงินสดตัวเองด้วยการนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แทนเพื่อหากำไร (หรือขาดทุน) ในอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่บริษัทนั้นถนัดนักเพราะไม่ได้ทำธุรกิจจากตรงนี้
การจ่ายเงินปันผลก็เป็นทางหนึ่งที่บริษัทชอบทำกันเวลามีเงินสดเยอะๆเกินความจำเป็น เนื่องจากไม่รู้ว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไรต่อแล้ว
อาจจะมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษระหว่างกาลก็ได้ เพื่อให้ดูว่าบริษัทนี้จ่ายเงินปันผลสูง มีผลตอบแทนต่อหุ้นที่ดูสวยงามอะไรแบบนั้น
หรือท้ายที่สุดแล้ว บริษัทก็อาจมีการพิจารณานำเงินสดที่มีอยู่นั้นไปซื้อหุ้นบริษัทตัวเองคืนก็ได้ ซึ่งกรณีนี้ผู้ถือหุ้นก็จะได้ประโยชน์จากการที่มีหุ้นน้อยลงในตลาด ส่งผลให้ราคาต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
ในทางตรงกันขาม การขาดเงินสดก็ส่งจะผลในเรื่องสภาพคล่องในการดำเนินงาน และส่วนใหญ่แล้วบริษัทก็จะแก้ไขด้วยการกู้ยืมเงินจากแบงค์นั่นแหละ ฉะนั้นหากบริษัทใดมีการกู้เงินเยอะๆ ก็ควรต้องระวังไว้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากหากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมนั้นหดตัวลงก็อาจจะส่งผลต่อการดำเนินงานได้เนื่องจากบริษัทอาจจะไม่สามารถกู้เงินมาชำระหนี้เงินกู้ (ก้อนเก่า) ไปได้เรื่อยๆเนื่องจากการหดตัวลงของเครดิตในตลาด
บางบริษัทมีเงินสดเยอะก็อาจจะมาจากการขายทรัพย์สิน ขายสินค้าคงคลัง หรือขายหนี้ค้างรับของบริษัทตัวเองออกไป ซึ่งโดยมากแล้วบริษัทจะขายทรัพย์สินที่ไม่ทำกำไร หรือขาดทุน ออกไป หรือเพื่อต้องการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเช่นกัน
ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องระวังบริษัทเหล่านี้ให้ดี เพราะการที่บริษัทมีเงินสดเข้ามาอาจจะดูเหมือนจะส่งผลให้ราคาหุ้นดีขึ้น แต่ว่าเงินสดจำนวนนี้ไม่ได้มาจากการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัท ฉะนั้นความสามารถทำกำไรในอนาคตก็อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอะไรเลย
ซึ่งหากเงินสดที่ได้มาหรือมีอยู่ไม่ได้มาจากความสามารถในการทำกำไรปกติจากการขายสินค้าและบริการหลักของบริษัทนั้นก็ให้เราระวังไว้
เพราะในอนาคตเราก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนั้นจะถูกใช้ไปกับอะไรที่จะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรให้กับบริษัทได้ในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้วราคาหุ้นก็น่าจะสะท้อนความเป็นจริงในระยะยาวว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทน่าลงทุนแค่ไหน
อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจจะทราบว่าบริษัทระดับโลกอย่าง Berkshire Hathaway ที่มีเงินสดมากกว่า 100,000 ล้านเหรียญ (2018) ที่หนึ่งในผู้ถือหุ้นคือ ปู่วอเรน ก็ยังบอกว่าช่วงนี้ตัวเลือกการลงทุนดีๆมีน้อย และปู่ก็ชอบที่จะสะสมเงินสดเพื่อเข้าซื้อกิจการนั้นๆเลย แต่แม้กระทั่งระดับปู่แล้วก็มีคำถามว่าปู่จะทำอะไรกับเงินก้อนนั้นกันแน่
แต่ก็นะ เราไม่ใช่ปู่วอเรน เราก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่เรารู้เรามีและใกล้ตัวเพื่อรักษาเงินที่เราหากันมาแสนยากเย็นไม่ให้เสียไปง่ายๆเนาะ
blenlit
hakwamroo.com
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.