พยายามเข้าใจ การลงทุน การเงิน และระบบเศรษฐกิจ

Investment

มูลค่าหุ้นทางบัญชี (Book Value) และมูลค่าหุ้นทางตลาด (Market Value)

เคยสงสัยหรือสับสนกันมั้ยครับว่าเวลาเราพยายามจะประเมินมูลค่าบริษัทเนี่ย มันมีตัวเลขหลายตัวเต็มไปหมด

แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเริ่มจากอยู่สองตัว (แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้บอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆเท่าไหร่ก็ตาม เนื่องจากยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆอีกเช่นกัน)

สองตัวที่ว่าก็คือมูลค่าทางบัญชี (book value) และมูลค่าตลาด (Market Value) ซึ่งสองตัวนี้มันต่างกันอย่างไร

มูลค่าทางบัญชีนั้นสั้นๆเลยก็คือ สินทรัพย์ทั้งหมด (total assets) ลบด้วย หนี้สินทั้งหมด (total liabilities) ตามที่ปรากฏอยู่ในงบดุล (balance sheet) ซึ่งก็คือมูลค่าที่จะคืนให้กับผู้ถือหุ้นหลังจากหักภาระหนี้สินทั้งหมดของบริษัทแล้วในกรณีที่บริษัทนั้นเลิกกิจการหรือล้มละลาย หรือที่เรียกว่า Liquidating Value นั่นเอง

เราลองมาดูตัวอย่างตามรูปด้านล่างเป็นงบการเงินไตรมาสที่ 3/61 ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 ของบริษัทสหพัฒนพิบูล (SPC) จะเห็นว่ามีสินทรัพย์ทั้งหมด(งบการเงินรวม) ที่ 25,710,294,900.76 บาท และมีหนี้สินทั้งหมด 8,573,528,322.55 บาท

ทีนี้เราจะหามูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 (อย่าลืมนะครับว่างบการเงินของบริษัทจะแสดงถึงฐานะการเงิน ณ เวลาที่แสดงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลยไปจนมีการออกงบรอบต่อไป) ด้วยการนำสินทรัพย์ทั้งหมดลบด้วยหนี้สินทั้งหมดก็จะได้มูลค่าทางบัญชีคือ 17,136,766,578.21 บาทนั่นเอง

ส่วนมูลค่าทางตลาดนั้น ก็คือมูลค่าที่ตลาดให้มูลค่าในเวลานั้นๆนั่นแหละ โดยการนำหุ้นที่ออกที่ชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท มาคูณด้วยราคาหุ้นในเวลานั้นๆก็จะกลายเป็นมูลค่าตลาดนั่นเอง (หรือที่มักจะได้ยินบ่อยๆว่า market capitalisation)

ถ้าจะคำนวณมูลค่าตลาดของบริษัทนี้ก็ให้ดูจากงบการเงินว่ามีหุ้นที่ออกและชำระแล้ว (shares outstanding) กี่หุ้น จากงบการเงินด้านล่างในส่วนของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น จะเห็นได้ว่ามีหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วที่ 330,000,000.00 หุ้น โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 นั้นอยู่ที่หุ้นละ 52.00 บาท

ดังนั้นมูลค่าตลาด ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ของ SPC ก็คือ 330,000,000.00 หุ้น คูณด้วยหุ้นละ 52.00 บาท เป็น 17,160,000,000.00 บาท

ทีนี้เมื่อมูลค่าทางตลาดมันน้อยกว่ามูลค่าทางบัญชี มันแปลว่านักลงทุนหรือตลาดอาจไม่มีความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการหรือกำไรในอนาคตของบริษัทนี้ แต่ก็อาจเป็นได้ว่าตลาดอาจให้ความสำคัญหรือคาดการณ์ผิดไป ก็จะกลายเป็นโอกาสสำหรับคนที่ประเมินหุ้นได้ถูกต้องกว่าในการทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นตัวนี้ได้เช่นกัน เนื่องจากวันนึงเมื่อความจริงปรากฏ ก็จะทำให้มูลค่าตลาดนั้นมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีขึ้นได้อย่างมากเช่นกัน

ในทางกลับกัน เมื่อมูลค่าทางตลาดมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่แล้วก็แปลได้ว่า นักลงทุนหรือตลาดมีความคาดหวังต่อผลประกอบการหรือกำไรในอนาคตของบริษัทนั้นว่าจะมีสูงขึ้น จึงทำให้ราคาตลาดย่อมสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีเป็นธรรมดา เนื่องจากว่าบริษัทที่มีกำไรอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องก็มักจะมีมูลค่าทางตลาดที่สูงกว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี สองตัวนี้เป็นแค่ตัวบ่งชี้ประกอบการพิจารณามูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นๆเท่านั้น ซึ่งจะต้องใช้องค์ประกอบอื่นๆอีกหลายอย่างในการค้นหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น

ดังนั้นแล้วเวลาเราเห็นราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นตัวนั้นจะแย่ (หรือดี) หรือจะตรงกันข้ามก็ตาม ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงองค์ประกอบอื่นๆด้วยเช่นกันครับ

 

 

blenlit

Hakwamroo.com

 

Leave a Reply