พยายามเข้าใจ การลงทุน การเงิน และระบบเศรษฐกิจ

Investment

สิ่งที่เราควรมีในการลงทุนในตลาดหุ้น

อีกสองเดือนเท่านั้นก็จะหมดปี 2019 แล้ว หากมองในแง่ของการลงทุนแล้ว ตลาดหุ้นของไทยก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะบวกขึ้นมานิดหน่อย (ประมาณ 2%) เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้ว การคาดการณ์เงินเฟ้อของไทยก็ไม่น่าจะเกิน 1% ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้นั้นก็ไม่น่าจะเกิน 1-3% หากรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้าไปด้วย

การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นสิ่งนึงที่เราจะมักจะพบเห็นคือ นักลงทุนมักจะไม่ค่อยมีความอดทนสักเท่าไหร่นักลงทุนที่มีความอดทนและเล่นเกมส์ยาวๆ โดยลงทุนแบบยาวๆมักจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีกว่านักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนในระยะสั้น การที่นักลงทุนจะสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนให้มากพอสมควรได้นั้นก็ต้องมีการมองหาบริษัทที่เน้นลงทุนเพื่อการเจริญเติบโตในระยะยาวมากกว่าการเน้นผลตอบแทนหรือผลกำไรในระยะสั้น

หากนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความอดทนแล้ว พวกเขาก็มักจะทำให้บริษัทที่เขาลงทุนมีมูลค่าที่น้อยกว่าที่ควร เพราะหากลองนึกภาพดูว่าการที่บริษัทต้องเสียสละกำไรในวันนี้ก็เพื่อลงทุนให้ได้ผลกำไรที่มากขึ้นในอนาคต แต่กลายเป็นว่าต้องเสียสละกำไรที่มากขึ้นในอนาคตเพื่อเน้นผลกำไรในวันนี้ (ว่าง่ายๆก็คือคนที่มีความอดทนก็จะลงทุนเงินในปัจจุบันเพื่อกำไรที่มากขึ้นกว่าเดิมในอนาคตแทน แต่หากคนที่ไม่มีความอดทนก็มักจะเห็นเงินในปัจจุบันสำคัญกว่าเงินที่มากขึ้นในอนาคตนั่นเอง)

ปู่วอเรนเคยกล่าวไว้ว่าตัวเลขผลประกอบการในรอบ 1 ปีนั้นจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเขาเลย เนื่องจากเป็นตัวเลขในรอบระยะเวลาที่สั้นมากและไม่ได้ส่งผลอะไรสำคัญ ตัวเลขผลประกอบการที่ควรจะเป็นขั้นต่ำในการประเมินมูลค่าบริษัทนั้นคือต้องมีขั้นต่ำที่ 5 ปีขึ้นไป (จริงๆปู่วอเรนเองก็ถือหุ้นบริษัทหลายบริษัทที่มีระยะเวลาเกิน 10 ปีด้วยซ้ำไป)

การลงทุนที่ดีนั้นนอกจากจะต้องมีความอดทนในการลงทุนในระยะยาวแล้ว การมองหาหุ้นที่มีโอกาสดีในอนาคตในการที่จะเข้าซื้อ แทนที่จะมองหาหุ้นที่จะมีราคาตอนขายที่ดีนั้นก็เป็นอีกสิ่งนึงที่ปู่วอเรนได้กระทำเสมอมา แม้ว่าตอนนี้ปู่มองว่าการลงทุนดีๆนั้นไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ เลยทำให้บริษัท Berkshire Hathaway ของปู่เองนั้นมีการเก็บเงินสดเป็นแสนล้านเหรียญเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี การเลือกการลงทุน การเลือกหุ้น การเลือกบริษัทนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ แม้แต่ปู่วอเรนเองก็ยังมีผิดพลาดบ้าง ปู่แนะนำว่าให้ฟังปู่คู่หูอีกคนก็คือ ชาลี มังเกอร์ ที่เสนอไว้ว่าถ้าคุณอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น (ในการเลือกหุ้น) ให้ศึกษาจากความผิดพลาดในอดีตมากกว่าที่จะไปดูความสำเร็จที่ผ่านมา

ซึ่งปู่วอเรนก็ได้ขยายความจากคำสอนของปู่ชาลีที่ว่า “เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน เขาจะได้ไม่ต้องไปที่นั่น” โดยปู่วอเรนบอกว่าเมื่อคุณมองดูความผิดพลาดในอดีตแล้ว คุณก็จะรู้ว่าในเมื่อคุณรู้แล้วว่าคุณทำอะไรที่ผิดพลาดไป คุณก็จะต้องไม่ทำมันอีก นั่นหมายความว่า คุณต้องรู้มากกว่าเดิมว่าทำไมคุณถึงลงทุนในบริษัทนั้นและทำไมราคาหุ้นมันถึงตกลงไป แม้ว่าบางครั้งการลงทุนที่ไม่ประสพความสำเร็จจะเป็นผลมาจากโชคที่ไม่ดีก็ตาม ซึ่งในกรณีนั้นความผิดพลาดก็อาจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เพื่อที่จะให้เรียนรู้และศึกษาถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการลงทุนจริงๆแล้วนั้น คุณต้องเข้าใจว่าทำไมคุณถึงลงทุนผิดพลาดไป และความผิดพลาดนั้นมันสามารถเลี่ยงได้หรือไม่ หรือว่าจริงๆคุณสามารถเลือกการลงทุนให้ดีกว่าได้

สาเหตุที่ปู่สองปู่ทั้งวอเรนและชาลีนั้นศึกษาความผิดพลาดจากการลงทุนในอดีตของตัวเองนั้นก็เพื่อที่จะเข้าใจว่า ‘ทำไม’ เขาถึงได้ลงทุนผิดพลาดไป เพื่อที่ว่าครั้งต่อๆไปเขาจะได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองไม่ให้ไปยังจุดนั้นอีก นั่นก็เป็นเหตุผลนึงว่าทำไม Berkshire Hathaway ถึงได้มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่เกินจากค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างมากมาย

การลงทุนโดยที่เน้นธุรกิจที่เราเข้าใจ และไม่ต้องไปฟังคนอื่นพูดมากมาย หลายคนเลือกซื้อหุ้นหรือการลงทุนโดยไม่ศึกษาอะไรเท่าไหร่ และก็ลงทุนในธุรกิจที่เราไม่ค่อยเข้าใจดีพอ ก็เป็นส่วนนึงว่าทำไมเราอาจจะไม่ประสพความสำเร็จแบบสองปู่นั่นสักทีเนาะ

การลงทุนเราก็ควรมองยาวๆหรืออาจจะทั้งชีวิตเลยทีเดียวเนาะ ดังนั้นถ้าเราจะยังไม่ตายวันนี้พรุ่งนี้ ยังไงก็ยังมีเวลาที่เราจะปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการศึกษาการลงทุนของเราให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตได้อยู่นะครับ ปีนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ดีนัก หรือใครอาจจะลงทุนผิดไปบ้าง ก็อาจจะลองทำตามคำแนะนำของปู่ๆ ลองศึกษาว่าทำไมเราผิดพลาดไป เพื่อเตรียมตัวให้ดีขึ้นสำหรับการลงทุนในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงอีกไม่นานนี้เนาะ

Happy Learning & Investing.

อ้างอิง: Advice From The Oracle

blenlit

hakwamroo.com

Leave a Reply