บริษัทในเครือของมหาเศรษฐีรายนี้อยู่ในแทบทุกธุรกิจในอินเดียตั้งแต่ถ่ายหินยันสนามบินยันศูนย์เก็บข้อมูล
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ต้นเดือนที่ผ่านมา กัวตัม อะดานี่ ได้ออกมาผ่านสื่อออนไลน์เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุนของเขาว่า ทุกๆอย่างจะผ่านไปด้วยดี
เป็นเวลากว่าหลายๆวันที่ราคาหุ้นของบริษัทในเครือของเขานั้นร่วงกันระนาว การไล่ขายหุ้นของบริษัทเขานั้นเกิดมาจากรายงานที่ตีพิมพ์โดยบริษัทของสัญชาติอเมริกันที่มักจะเป็นผู้ขายหุ้น short ก็คือนักลงทุนที่เดิมพันว่าราคาของหุ้นจะตกลงและก็พยายามทำให้มันเกิดขึ้นด้วยการนำเสนอแง่มุมที่มักจะไม่ดีให้แก่สาธารณะชนได้รับรู้กัน
Hindenburg Research บริษัทดังที่ว่านี้ได้กล่าวหาอะดานี่ว่าเป็น “บริษัทที่หลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” โดยมีข้อกล่าวหานั้นมาอย่างกับเขื่อนแตกว่าราคาหุ้นปัจจุบันนั้นมีการปั่นและมีการแก้ไขงบการเงินต่างๆนาๆ โดยกลุ่มของอะดานี่นั้นก็ได้ออกรายงานเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างหนักแน่น แต่เหล่านักลงทุนก็ไม่รอความจริงว่าใครถูกใครผิดหรอก ก็เลยไล่เทขายหุ้นของอะดานี่กันอย่างเทน้ำเทท่า ทำให้มูลค่าหุ้นของกลุ่มอะดานี่รวมถึงกลุ่มพลังงานและกลุ่มก่อสร้างนั้นร่วงระนาวไปประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญเลยทีเดียว
และเนื่องมาจากการดิ่งระนาวของราคาหุ้น ทำให้บริษัทหลักอย่าง Adai Enterprises Ltd ก็ยกเลิกการออกหุ้นใหม่ให้กับสาธารณะชน มันเป็นเหมือนการบอกเป็นนัยๆกลายๆยอมรับว่าเหตุการณ์นี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจของเขา แม้อะดานี่จะบอกว่านักลงทุนของเขาก็ไม่โลเลและก็ยังหนุนหลังเขาอยู่
การกล่าววาจาของอะดานี่ในครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทันทีไม่เพียงแค่ต่อกลุ่มของอะดานี่บริษัทของเขาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนไปถึงความอยากเติบโตที่รวดเร็วเพื่อเป็นมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจของอินเดียไปด้วย เพราะยังไงก็แล้วแต่อะดานี่ก็คือผู้ที่โคตรร่ำรวยและมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเหล่านักการเมืองของประเทศ และเขาก็ไม่สามารถที่จะปกป้องความเสียหายที่เกิดจากบริษัทเล็กๆจากนิวยอร์คนี้ได้
แต่คำพูดของเขามันก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อตลาดหุ้นที่มุมไบเปิดทำการ ราคาหุ้นของบริษัทของเขาก็ร่วงอีกครั้ง พออาทิตย์ตกดิน ความสูญเสียส่วนตัวของเขาก็ตีมูลค่าได้ถึง 5.8 หมื่นล้านเหรียญแล้ว เกือบครึ่งนึงของความร่ำรวยทั้งหมดของเขา เขาไม่ได้เป็นบุรุษที่รวยที่สุดในเอเชียหรือแม้แต่ในอินเดียอีกแล้ว
เมื่อรายงานจากบริษัทขายหุ้น short นั้นออกมาเมื่อ 24 มกราคม น้อยคนในอินเดียจะคิดว่ามันจะมีผลกระทบอะไรมากนัก ข้อกล่าวหาบางข้อก็แค่สะท้อนความวิตกกังวลอะไรที่คล้ายๆเดิมอยู่แล้ว กลุ่มคนในแวดวงการเงินก็ได้กระซิบกระซาบกันมานานแล้วเกี่ยวกับการเงินที่ทะแม่งๆของกลุ่มอะดานี่นี้ และก็มีนักหนังสือพิมพ์กลุ่มนึงในอินเดียที่ก็เคยได้เขียนถึงความสงสัยนี้ภายในบริษัท ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้เห็นมากนักนอกจากการโต้แย้งกลับมาจากกลุ่มบริษัท แต่รายงานของ Hindenburg มันสะท้อนไปในทางเดียวกัน บางทีอาจจะเพราะว่าเขาเคยทำสำเร็จมาแล้วกับการตั้งคำถามกับ Nikolar Corp บริษัทที่ทำเกี่ยวกับรถบรรทุกไฟฟ้าในอเมริกาซึ่งผู้ก่อตั้งก็ถูกตัดสินว่าฉ้อโกงเมื่อปีที่แล้ว
ท่ามกลางเอกสาร 100 หน้าที่กล่าวหาหลายๆข้อนั้น จะมีข้อหลักๆก็คือกล่าวหาว่าคนที่ใกล้ชิดกับอะดานี่นั้นได้ใช้บริษัทบังหน้าในการซื้อขายหุ้นของกลุ่มอะดานี่และปั่นราคาหุ้นขึ้นไปหรือการอัดเงินเข้าไปเพื่อให้ดูเหมือนว่าบริษัทนั้นดูน่าเชื่อถือ Hindenburg บอกว่า การที่ทำให้ธุรกิจดูมีมูลค่ามากขึ้น กลุ่มอะดานี่ก็สามารถดึงดูดการลงทุนเข้ามาได้ หรือมีการกู้เงินมากขึ้นจากการที่ใช้หุ้นในการวางเหมือนเป็นคำประกัน รายงานได้เขียนอีกว่าตอนที่ได้รับการตีพิมพ์นั้น Hindenburg ได้ทำการ short พันธบัตรที่ซื้อขายใน US และอนุพันธ์ที่ไม่ใช่ในอินเดีไว้ก่อนแล้วและก็จะได้เงินหานักลงทุนหนีอะดานี่ไป
การโต้แย้งของกลุ่มอะดานี่บอกว่ารายงานนั้นเต็มไปด้วยความเน่าเหม็นและการกล่าวหาที่ไม่มีข้อมูลจริงด้วยการที่คนขาย short นั้นพยายามจะทำเงินจากสิ่งที่ผิด แค่รายงานโต้แย้งก็ล่อไปมากกว่า 400 หน้าแล้ว “เรายอมรับคำวิจารณ์แต่เราไม่ยอมรับคำโกหก” กล่าวโดย Jugeshinder Sing, CFO ของกลุ่มต่อ Business Today TV
มูลค่าที่สูญเสียไปของกลุ่มบริษัทของอะดานี่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ที่ราวๆ 1.09 แสนล้านเหรียญ ซึ่งก่อนหน้าที่มันอยู่ที่ 2.36 แสนล้านเหรียญ ก่อนที่จะมีรายงานจาก Hindenburg ออกมา ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการต้องการให้ผู้คุ้มกฏทำการสอบส่วนอะดานี่อย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบต่อตลาด ชื่อเสียง สถาบันการเงินและนักลงทุนรายย่อยในวงกว้าง เนื่องจากอาณาจักรของกัวตัม อะดานี่นั้นคือยักษ์ใหญ๋ในวงการอุตสาหกรรม ไม่ใช่บริษัททำรถไฟฟ้า หรือแอพพนันที่ Hindenburg เคยไปกระทุ้งไว้
ถ่านหินที่สกัดออกมาจากเหมืองที่อะดานี่เป็นเจ้าของนั้นก็ถูกส่งต่อผ่านท่าเรือและทางรถไฟของเขาเช่นกันและก็ลำเลียงไปยังโรงไฟฟ้าของเขาอีก และไฟฟ้าที่ผลิตมาก็วิ่งผ่านสายไฟฟ้าของเขาไปสู่บ้านที่สร้างด้วยซีเมนต์ของเขาไปอีก ในบ้านคนก็เตรียมอาหารด้วยแก๊สของอะดานี่ ใช้น้ำมันทำกับข้าวของอะดานี่ ข้าว และแอปเปิ้ล และระหว่างกินข้าวนั้นก็อาจจะคุยกันถึงว่าจะไปพักผ่อนวันหยุดที่ไหนโดยบินระหว่างสนามบินของอะดานี่อีก หรือดูรูปที่ถ่ายแล้วเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลของอะดานี่เช่นกัน ไม่มีใครในประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่นี้ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในหลายๆส่วนในเศรษฐกิจได้มากขนาดนี้ในช่วงเวลาที่สั้น
อะดานี่ในวัย 60 นั้นเป็นคนที่พูดนิ่มๆและตลอดช่วงชีวิตของเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงแสงไฟมาตลอด เขาเกิดที่เมือง Ahmedabad ในศูนย์รวมทางอุตสาหกรรมใน Gujarat ทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย เป็นบุตรคนที่ 7 จาก 8 คน พ่อเขาเป็นพ่อค้าขายผ้า แม่อยู่บ้าน เขาใช้เวลา 6 เดือนในวิทยาลัยในมุมไบ และก็ออกมาทำงานเป็นคนเก็บเพชรพลอย บางครั้งเขากลับบ้านเกิดเพื่อไปทำธุรกิจพลาสติกของพี่ชาย ในปี 1988 เขาก่อตั้งบริษัทซื้อขายสินค้า ผ่านไปสองสามปีเขาก็ได้สัญญาที่จะบริหารท่าเรือใน Gujarat ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่เข้าสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากนั้นก็มีถ่านหิน น้ำมันที่กินได้ โรงไฟฟ้า และก็อื่นๆตามมา
อะดานี่นั้นเป็นแกนหลักสำคัญของนายกรัฐมนตรีของอินเดีย Narendra Modil ที่ผลักดันรณรงค์ “Make in India” หรือผลิตในอินเดีย ซึ่งพยายามที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการผลิตของประเทศ ซึ่งทั้งสองท่านนี้ได้ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 อะไรที่ Modi ประกาศหลักการ เด๋วอะดานี่สร้างให้
และในช่วงที่หุ้นทั่วโลกมีการคึกคะนองในช่วงปี 2020 หุ้นของกลุ่มอะดานี่ก็เพิ่มสูงขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศและก็ขึ้นไปเรื่อยๆแม้กระทั่งในปี 2022 ซึ่งส่งผลให้อะดานี่มีความมั่งคั่งถึง 1.5 แสนล้านเหรียญเป็นรองแค่ Elon Musk เท่านั้น ซึ่งก็มีคนที่เคลือบแคงสงสัยสแน่นอนเพราะการประเมินมูลค่าหุ้นของอะดานี่นั้นค่อนข้างค้านกับตรรกะของโลกการเงิน เนื่องจากว่าจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อขายได้อย่างเสรีโดยนักลงทุนภายนอกนั้นเมื่อเทียบกับกลุ่มของอะดานี่ที่ถือหุ้นส่วนใหญ่แล้ว ถือว่าน้อยมาก นั่นหมายความว่าราคาหุ้นจะสามารถเหวี่ยงขึ้นลงได้มาก ซึ่งกองทุนรวมของอินเดียนั้นก็มักจะหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในบริษัทเหล่านี้เนื่องจากเขาจะได้รับความสนใจน้อยจากนักวิเคราะห์หุ้น
ฐานของอาณาจักร์อะดานี่นั้นก็ประกอบไปด้วยบริษัทมหาชน 10 บริษัท และก็มีในเครือข่ายที่ถืออยู่อีกกว้างขวาง ซึ่งการถือหุ้นโดยกลุ่มครอบครัวที่ควบคุมบริษัทแนวนี้เป็นเรื่องปกติในอินเดีย ความสามารถในการเคลื่อนย้ายกำไรและบุคลากรในกลุ่มของตัวเองแบบนี้ไปยังบริษัทที่กระเสือกกระสนกระท่อนกระแท่นทำให้เขามีความยืดหยุ่นมาก
ฐานของอาณาจักรของอะดานี่นั้นก็คือกลุ่มของ 10 บริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายของบริษัทในครอบครัวที่มีความใกล้ชิดกันมาก เช่นนี้เป็นเรื่องปกติทีที่มีการควบคุมในกลุ่มของครอบครัวที่ในประเทศอินเดีย ความสามารถในการย้ายกำไรและบุคลากรภายในกลุ่มเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ลำบากทำให้บริษัทมีความต้านทานสูง และองค์กรใหญ่เช่นนี้ก็สามารถกลายเป็นองค์กรที่ไม่โปร่งใสและซับซ้อนได้ กฎเกณฑ์ที่ไม่ได้รับกล่าวถึงและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอาจมีผลต่อการดำเนินกิจการและการตัดสินใจที่อาจจะดูงงงวยต่อนักลงทุนภายนอกที่ให้ความสำคัญกับมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้
อะดานี่ได้ทำการเชื่อมโยงชะตากรรมของบริษัทของเขากับชะตากรรมของประเทศอินเดียอย่างเปิดเผย เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อะดานี่เอนเตอร์ไพร์สประกาศว่าจะขายหุ้นมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มันเป็นการนำเสนอเพื่อให้มูลค่าของบริษัทสูงขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์และดึงดูดนักลงทุนใหม่โดยเฉพาะนักลงทุนขนาดเล็กในอินเดีย “เรื่องราวของอะดานี่ก็คือเรื่องราวของประเทศอินเดีย” ซิงห์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินบอกกับนักข่าวในเดือนมกราคม “ทุกครัวเรือนในชนบทของอินเดียสามารถลงทุนได้ในบริษัทนี้”
รายงานของ Hindenburg ถูกปล่อยขณะที่การเสนอขายหุ้นกำลังเริ่มต้น – ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเหตุบังเอิญหากพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างมากแล้ว กลุ่มของ Adani ได้ให้สัตยาบันว่าจะดำเนินการเสนอขายตามที่วางแผนไว้เป็นสัปดาห์ โดยตอนแรกเริ่มนั้นได้มีการบอกกับผู้ถือพันธบัตรว่าการตอบโต้ในแต่ละจุดนั้นจะมีการโต้แย้งตามแต่ละจุดจนในภายหลัง ตามที่มีเจ้าหน้าที่ได้แจ้ง Bloomberg News ไว้ แต่ในเมื่อราคาหุ้นเริ่มลดลง ความเร่งด่วนก็เกิดขึ้นในสำนักงานใหญ่ของ Adani Enterprises ในเมือง Ahmedabad ซึ่งหลังนั้นสองสามวัน บริษัทก็ได้เปิดเผยแพร่การตอบโต้ต่อรายงานออกมา
อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ได้ช่วยเลย รายงานเป็นร้อยๆหน้าของ Hindenburg และการตอบกลับของอะดานี่นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและการดำเนินธุรกิจที่มีการอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันเป็นเป็นของข้อมูลที่มหาศาลแม้กระทั่งสำหรับนักการเงินก็ตาม อย่าว่าแต่นักลงทุนธรรมดาทั่วไปเลยที่จะต้องศึกษามันในเพียงไม่กี่วัน ในวันสุดท้ายของการเสนอขายหุ้นในวันที่ 31 มกราคม ราคาหุ้นของ Adani Enterprises ปิดที่ราคาต่ำกว่าราคาของหุ้นใหม่ที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนเสียอ โดยมีมูลค่าลดลงถึง 4.4%
มูลค่าหุ้นของกลุ่มบริษัทอะดานี่
อย่างไรก็ตาม Adani Group กล่าวว่ามีนักลงทุนที่ตั้งใจจะซื้อหุ้นทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นผลส่วนนึงจากการดึงดูดนักลงทุนใหญ่ รวมถึง 2 มหาเศรษฐีจากธุรกิจในครอบครัว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทั่วไปก็ได้แต่ยืนมอง ในวันถัดไปหลังจากนั้น หุ้น Adani Enterprises ลดลงอย่างต่อเนื่องและปิดต่ำกว่าช่วงเปิดขายหุ้นถึง 30% ใครก็ตามที่ซื้อหุ้นใหม่จะต้องเผชิญกับการสูญเสียทันทีอย่างใหญ่โต นักลงทุนที่กังวลได้โทรเข้าไปหาทีม Adani เพื่อแสดงความกังวลของพวกเขา และในค่ำคืนวันนั้นการเสนอขายนั้นได้ถูกยกเลิก “คณะกรรมการของเรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมนักที่จะดำเนินการต่อไป” Adani กล่าวในวิดีโอของเขา.
เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ความเสียหายก็ได้แพร่หลายออกไปก่อนแล้ว ดัชนีหุ้นทั่วไปของอินเดียก็ลดลง และเงินรูปีก็ได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับกับสกุลเงินเอเชียทั้งหมด ผู้สังเกตบางคนบอกว่าวิธีบางอย่างที่นักลงทุนของสหรัฐอเมริกาอาจจะมองเห็นด้วยความกังวล – เช่นว่ากลุ่ม Adani Group มีการมอบหุ้นเป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้และพันธบัตรต่างๆ หรือว่าผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในครอบครัว – ซึ่งเป็นสิ่งที่พบบ่อยในกิจการของอินเดียซึ่งบางที Hindenburg แค่ไม่เข้าใจว่าที่นั่นทำธุรกิจกันแบบนี้ บางคนก็วิพากษ์ว่ารายงานสั้นๆ ของ Hindenburg เป็นการโจมตีประเทศเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย “อะดานี่ได้บอกกับโลกเสมอมาว่าอะดานี่ก็คืออินเดียและอินเดียคืออะดานี่ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องจริง” พีเอ็น วีเจ ผู้จัดการทรัพย์สินในนิวเดลีก็กล่าวในสัมภาษณ์บนช่องวิดีโอของ India Today อย่างเผ็ดร้อน พีเอ็นกล่าวว่า “นี่คือตลาดหลักทรัพย์ และในตลาดหลักทรัพย์ การขาย short ก็เกิดขึ้นทุกวัน”
แค่เพียงขนาดที่ใหญ่และมีความสำคัญในประเทศอินเดีย Adani Group อาจจะแสดงความทนทานต่อการโจมตีต่อการขายหุ้น short มากกว่าที่ฝ่ายต่อต้านหวังไว้ ราคาหุ้นได้ดีดเพิ่มขึ้นบ้างในช่วงไม่กี่วันล่าสุดเนื่องจากอะดานี่และครอบครัวของเขาได้ชำระหนี้บางส่วนล่วงหน้าด้วยการใช้หุ้น แต่ในสายตาของตลาดโลกตอนนี้กำลังเฝ้าระวัง Adani Group และผู้ก่อตั้งของมัน และด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อนที่อาจจะเคยช่วยสร้างความเชื่อถือได้ในอดีตจนเติบโตมีชื่อขึ้นมานี้มันก็กลายเป็นข้อสงสัยสำหรับนักวิจารณ์ทั้งในและนอกประเทศในขณะนี้ที่จะได้เคี้ยวกันต่อไปอย่างเหลือเฟือ
อ้างอิง:
How Hindenburg Research Costs India’s Adani Group Empire $100 Billion – Bloomberg
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.