เมื่อช่วงเดือนมีนาคมในปี 2021 ราคาของ bitcoin หนึ่งเหรียญนั้นได้มีมูลค่าทะลุเกิน 6 หมื่นเหรียญดอลลาห์สหรัฐฯเลยทีเดียว และมูลค่าตลาดของสกุลเงินคริปโตนั้นได้มีมูลค่ารวมกันอย่างน่าทึ่งถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว
Bitcoin เป็นความหวังที่ว่าสร้างระบบการเงินใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการเงินแบบปัจจุบันที่ควบคุมโดยรัฐบาลและธนาคารต่างๆ ซึ่งทำให้ทั่วโลกนั้นก็มีจินตนาการเกี่ยวกับ bitcoin นี้อย่างล้นหลาม
มันได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมเลยทีเดียว แต่ทว่าที่ผ่านมานั้นความฝันความหวังของ bitcoin นี้ก็ยังไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แทนที่ bitcoin จะกลายเป็นเงินในรูปแบบใหม่มันกลับกลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทนึงที่มีความผันผวนสูงมาก ส่งผลให้มีคนที่ได้กำไรอย่างสูงมากจำนวนนึงและก็มีคนที่ขาดทุนย่อยยับไม่น้อยเช่นกัน นักลงทุนได้ผลักดันให้ราคาของ bitcoin ทะลุฟ้าขึ้นไปเลยทีเดียวในช่วงโรคระบาดนี้
สำหรับผู้ที่เชื่อในเหรียญนี้ bitcoin ก็ยังเป็นพื้นฐานการก้าวย่างสำคัญในการที่จะไปสู่สังคมอุดมคติดังที่วาดฝันไว้ แต่สำหรับผู้ที่ยังเคลือบแคลงสงสัยนั้น ตลาดการซื้อขายคริปโตนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับบ่อนคาสิโนในรูปแบบดิจิตอลแค่นั้นเอง เนื่องจากมันมีความผันผวนมากเกินไปที่จะไว้ใจหรือเชื่อถืออะไรได้
แล้วความฝันของ bitcoin มันจะกลายเป็นอะไรหละ?
bitcoin นั้นเริ่มต้นมาจากสักช่วงนึงในปี 2009 ในสักที่แห่งนึงในโลกนี้ มีผู้ลึกลับคนนึงใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto ได้สร้างเหรียญ bitcoin เหรียญแรกของโลกขึ้นมา มันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการปฏิวัติทางดิจิตอลเลยทีเดียว bitcoin และก็สกุลเงินคริปโตอีกเป็นพันๆที่เกิดขึ้นตาม bitcoin มานั้นก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนกับเหรียญจริงๆกลมๆที่เราสัมผัสได้กันหรอก
มันเป็นเพียงโค้ดที่บันทึกไว้บนบัญชีในรูปแบบดิจิตอลซึ่งก็จะยาวมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีคนใช้มันมากขึ้น และก็ฝังตัวไว้อยู่ในล็อตแรกของโค้ดที่เขียนโดย Nakamoto หรือก็คือกลุ่ม block of bitcoins แล้วก็เป็นการเอาหัวข้อข่าวที่เอาไปไว้ใน block แรกของ bitcoin เพื่อส่งสัญญาณให้คนอื่นๆรู้ว่ามีทางเลือกอื่นอยู่หลังจากที่เกิดวิกฤตการเงินในตอนนั้นว่าเรายังคงเชื่อใจสถาบันการเงินหรือธนาคารต่างๆได้อีกเหรอ
ความไว้ใจและเชื่อถือได้นั้นเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเงินในปัจจุบัน ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆนั้นเป็นผู้ควบคุมการไหลของเงินในระบบเศรษฐกิจต่างๆ ความเชื่อที่ว่าการบันทึกบัญชีนั้นต้องมีความถูกต้องแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญอย่างที่สุด
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เงินก็เป็นแค่เพียงการสร้างสัญญาขึ้นมาของสังคม มันมีตัวตนอยู่และมีมูลค่าเพราะว่าเราทุกคนก็ตกลงกันว่ามันมีมูลค่า และข้อตกลงนี้จะยังคงทำงานอยู่ได้เพราะว่าเรามอบความไว้ใจให้กับสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร
แต่ Bitcoin นั้นไม่ต้องการความไว้ใจต่อสถาบันการเงินต่างๆดังว่า Nakamoto นั้นต้องการที่จะสร้างระบบที่มีความปลอดภัยสูงที่ไม่ต้องพึ่งพาความไว้ใจจากไหนก็ตาม และเพื่อที่จะทำให้ประสพความสำเร็จนั้น เหรียญคริปโตที่ว่าก็จะมีการลงทะเบียนไว้บนเทคโนโลยีที่เกิดการปฏิวัติใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า blockchain นั่นเองซึ่ง blockchian ก็คือการบันทึกทางบัญชีของธุรกรรมต่างๆที่ไม่ได้มีการเก็บไว้โดยสถาบันต่างๆจากศูนย์กลาง
แต่ธุรกรรมนั้นๆจะมีการตรวจสอบและจดบันทึกด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จากทั่วโลกเลยทีเดียวโดยขั้นตอนที่เรียกว่า ‘mining’ โดย mining ที่ว่านี้มีจุดประสงค์อยู่ 2 อย่างก็คือ อย่างแรกนั้นเป็นการนำ bitcoin เข้าสู่การไหลเวียนในระบบ และอย่างที่สองก็คือเพื่อตรวจสอบธุรกรรมต่างๆบนเครือข่ายนั้น
แต่เนื่องจากว่ามันเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อนมาก ถ้าใครสักคนต้องการที่จะทำธุรกรรมอันใด ทุกๆคนบนเครือข่ายก็จะได้รับการแจ้งเตือน และธุรกรรมก็จะได้รับการตรวจสอบโดย miner ก่อนอื่นพวกเขาจะเช็คว่าธุรกรรมเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่ และเมื่อ miner ได้เช็คและตรวจสอบสองพันสามพันธุรกรรมพวกเขาก็จะรวมพวกมันไว้ด้วยกันอยู่ใน block ที่ว่า แต่นั่นคือส่วนที่มันง่าย
เหล่า miners ก็จะแข่งกันเพื่อสิทธิในการเพิ่ม block นี้ต่อท้ายแถวเหล่าธุรกรรมที่ทำไปก่อนหน้านี้เป็นแถวๆ ถึงเรียกว่า blockchain และเพื่อที่จะทำแบบนี้พวกเขาต้องแข่งกันแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยที่ miners ที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ก่อนจะเห็นว่า block ของพวกเขานั้นถูกเพิ่มต่อท้ายเข้าไปในแถว และพวกเขาก็จะได้รางวัลเป็น bitcoin
ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดทั้งมวลนี้จะใช้พลังงานอย่างมากจนไม่น่าเชื่อและเป็นปัญหาส่วนนึงให้กับปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่วิกฤตอยู่นี้ได้ จนถึง ณ เดือนพฤษภาคม 2021 การทำเหมือง bitcoin หรือที่เรียกว่า bitcoin mining นี้ ได้ยังพลังงานไฟฟ้าคิดเป็นทั้งปีแล้วมากกว่าประเทศเนเธอแลนด์ซะอีก
และเพื่อที่จะรักษาให้ bitcoin นั้นหายากและเพื่อช่วยรักษามูลค่าของมันไว้ จำนวนของ bitcoin ที่สามารถทำเหมืองนี้จะกำหนดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ bitcoin เท่านั้น จนถึงวันนี้มี bitcoin จำนวน 19 ล้านเหรียญที่ถูกขุดขึ้นมาแล้ว แต่มันก็ยังไม่สามารถถือว่ามันเป็นเงินได้
เพราะอะไรก็ตามที่จะถือว่าเป็นเงินได้นั้น มันจะต้องมีคุณสมบัติอยู่สามอย่างก็คือ หนึ่ง เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า สองคือเป็นหน่วยในการรักษามูลค่าของมันไว้ได้ และสามเป็นหน่วยที่นับได้ ซึ่งทุกวันนี้ที่ bitcoin ยังไม่สามารถจัดว่าเป็นเงินได้เพราะว่า bitcoin มันก็คือการนำโค้ดไปเข้าแถวกันซึ่งมีการใช้ถูกนำไปใช้ได้อย่างจำกัด อย่างเช่นทองคำแท่งที่ไม่สามารถสร้างรายได้อะไรได้แต่เมื่อเทียบกับราคาของทองคำแล้ว มูลค่าของ bitcoin หนึ่งเหรียญนั้นจะมีความผันผวนอย่างมาก
และเพียงแค่ทวีตเดียวก็จะสามารถเปลี่ยนความคิดของคนที่มีต่อ bitcoin ได้ต่อความเป็นเงินในอนาคตของมัน ด้วยทั้งหมดนี้ก็จะเห็นว่าเมื่อราคาของ bitcoin นั้นมีการเคลื่นไหวขึ้นลงอย่างมากเมื่อคนทำการซื้อหรือขายมัน และในเมื่อมันไม่เหมือนกับสกุลเงินดอลลาห์ที่มีรัฐบาลกลางหรือธนาคารกลางคอยปกป้องมูลค่าของมันไว้
ความผันผวนที่สูงของ bitcoin นี้จึงเป็นการยากที่จะนำมันไปใช้ในการเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเงินที่เราใช้ทุกวันนี้ ดังนั้นคนที่ขายของอยู่บน Amazon ก็อาจจะทำใจได้ยากนักที่จะรับ bitcoin ในการชำระค่าสินค้าต่างๆของผู้ขายเพราะวันถัดมา ราคาของ bitcoin นั้นก็อาจจะขึ้นหรือลงอย่างมากก็ได้
อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา ราคาของ bitcoin ตกลงถึง 8,000 เหรียญภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประเทศเอลซัลวาดอร์ยกเลิกการรับ bitcoin ว่าเป็นเงินที่ถูกกฏหมายเป็นประเทศแรกแต่อย่างใด มันเป็นการเดิมพันที่ใหญ่นัก
โอเค แล้วถ้า bitcoin มันไม่ได้สามารถทำตัวให้สามารถใช้ชำระค่าสินค้าได้ แล้วอะไรทำให้มันมีค่าขึ้นมาได้หละ?
เหมือนกับหุ้นและพันธบัตร bitcoin ก็เลยถูกทำเหมือนเป็นเรื่องของการลงทุนไป ซึ่งก็เลยนำไปสู่ความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรจากมูลค่าของมัน ที่ๆวัยรุ่นกลายเป็นเศรษฐีเรือนล้าน ในขณะที่คนอื่นก็สูญเสียเงินหมดตัว ในปี 2013 ชายผู้ซึ่งโชคร้ายคนนึงในเวลส์ต้องเดินคุ้ยกองขยะเพื่อหาฮาร์ดดิสก์ที่เก็บ bitcoin จำนวน 7,500 เหรียญที่เผลอทิ้งมันไป
ณ วันนี้ ฮาร์ดดิสก์อันนั้นอาจจะมีมูลค่าถึง 280 ล้านเหรียญเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าเขาจะหามันเจอมั้ย แต่การลงทุนในเหรียญคริปโตนั้นก็ไม่เหมาะสมกับคนที่อยากลองของใหม่หรือนักลงทุนที่นั่งเทรดจากโซฟาของตัวเองอีกต่อไป เพราะมันได้ดึงดูดความสนใจจากเหล่าธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกรวมไปถึง Morgan Stanley ซึ่งตอนนี้ได้เสนอให้นักลงทุนเข้าถึงกองทุน bitcoin ของตัวเอง และมันก็นำมาซึ่งการเฝ้าระวังและจับตามองจากเหล่าผู้คุ้มกฏมากขึ้น
และเหล่าผู้คุ้มกฏดังว่าก็มักจะเป็นกังวลอันเนื่องมาจากด้านมืดของ bitcoin ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมทางเว็บ การขโมยเครดิตการ์ด หรือการค้ายา ก็ตั้งราคาเป็น bitcoin ทั้งนั้น มีการฉ้อโกง การโจรกรรมเกิดขึ้น และก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่เป็นสิ่งเตือนใจให้เฝ้าระวัง เหล่านักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำก็ได้ออกมาเตือนว่า bitcoin นั้นเป็นฟองสบู่ที่อันตรายที่มีชะตาชีวิตที่จะต้องระเบิดและคอยเข้าร่วมหลุมฝังศพของการลงทุนที่เก็งกำไรกันแบบนี้ในอดีต
อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในปี 1630 เกี่ยวกับความคลั่งดอกทิวลิป ในขณะที่ราคาของทิวลิปนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดี้ยงลงมา หรืออย่างช่วงบูมของดอทคอมในปีทศวรรษ 1990 ในปี 2018 นั้นมันมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเหล่าผู้วิจารณ์ bitcoin นั้นอาจจะถูกต้อง การพุ่งขึ้นของราคาและการตกลงอย่างรวดเร็วของราคาของ bitcoin ซึ่งย้อนรอยประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นของฟองสบู่แตก และก็เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2021 ปีนี้ ซึ่งราคาพุ่งขึ้นไปทะลุ 6 หมื่นเหรียญและก็ร่วงกลับลงมาเกือบ 50% เลยทีเดียวในเวลานี้
แม้ว่า bitcoin อาจจะยังไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพเหมือนกับทองคำในเวลานี้ หรือได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นฟองสูบ่ที่แตกเปรี้ยงปร้าง แต่อย่างนึงที่แน่นอนกับความฝันที่ว่า bitcoin จะกลายเป็นเงินในรูปแบบใหม่นั้นเกินเลยไปจากการควบคุมของธนาคารกลางและรัฐบาลนั้น ก็ยังค่อนข้างดิ้นได้พอสมควรเหมือนกับผู้สร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา
อ้างอิง:
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.