เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมมีโอกาสได้เดินผ่านร้านหนังสือร้านหนึ่ง ระหว่างเดินไปมาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น” ก็ทำให้นึกถึงว่า หนังสือเล่มนี้มีเพื่อนอย่างน้อย 3 คนเคยแนะนำให้อ่าน ก็เลยลองซื้อมาอ่านดูและก็อ่านจบเล่มแรกในเวลาประมาณ 2 วัน (มีทั้งหมด 3 เล่ม)
เมื่ออ่านจบแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในหนังสือนั้นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน แต่ก็รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจที่พยายามสอน พยายามแบ่งปันและนำเสนอการใช้ชีวิตในเรื่องการเงิน การทำธุรกิจ ในรูปแบบสไตล์คนยิว ก็เลยอยากมาสรุปสั้นๆให้ท่านๆและผมเองไว้เตือนตัวเองเผื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เขียนโดยชาวญี่ปุ่น นามว่า “ฮอนดะ เคน” เกี่ยวกับสิ่งที่ต่างๆที่ควรจะทำหรือคิดเพื่อเพิ่มโอกาสและดำเนินไปในทางที่ทำให้ตัวเองเป็นเศรษฐีที่มีความสุขขึ้นมาได้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถูกขายไปแล้วกว่า 3 ล้านเล่มที่ญี่ปุ่น (เขาว่างั้น)
นายเคน เมื่ออายุประมาณ 20 ปี เขามีโอกาสไปบรรยายที่เมืองฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับวัฒนธรรมญ๊่ปุ่น และก็ได้มีโอกาสพบกับเศรษฐีชาวยิวที่เติบโตที่นั่น และระหว่างที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันเขาก็ได้ถ่ายทอดสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แนวคิด วิธีคิดต่างๆเพื่อให้ตัวเองและคนอื่นๆมีโอกาสร่ำรวยขึ้นมาแบบเขา
การจะเป็นเศรษฐีได้นั้นต้องผ่านอะไรหลายๆอย่าง การทำธุรกิจต้องมีการวางแผน ต้องมีการทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้ ต้องมีใจสู้ที่จะทำให้แผนนั้นสำเร็จให้ได้ อุปสรรคต่างๆที่จะเข้ามานั้นจะเป็นตัวบ่งบอกและกำหนดว่าเราจะเป็นคนยังไง จะก้าวผ่านมันไปได้มั้ย
คนเราต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองเต็มที่ ไม่โทษสิ่งรอบข้างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และหากตัวเองสามารถประสพความสำเร็จได้ในอนาคตแล้วนั้นก็จำเป็นต้องแบ่งปันและถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่คนรุ่นหลังๆด้วย
เศรษฐีชาวยิวผู้นั้นบอกว่าหากต้องการจะประสพความสำเร็จ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้แน่นอนและชัดเจน และยิ่งเร็วตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆสาวๆอยู่ได้นั้นยิ่งดี ต้องมีความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ต้องมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงให้มากที่สุด ต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจกลไลของสังคม ต้องสนใจในงานที่ตัวเองทำมากกว่าให้เงินเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราจะทำ และต้องรักในงานที่ทำ
เศรษฐีก็เล่าต่อไปเรื่อยๆว่าโลกนี้มีคนอยู่ 2 แบบคือคนที่มีอิสรภาพและคนไร้อิสรภาพ ซึ่งการใช้ชีวิตของคน 2 ประเภทนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองอยากที่จะใช้ชีวิตแบบไหนกันแน่ แม้การทำธุรกิจดูเผินๆอาจจะดูเหมือนว่าดีกว่าลูกจ้างตามบริษัทใหญ่ๆ แต่การที่ต้องลงมือทำเองทุกอย่างนั้นก็อาจทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่าเป็นลูกจ้างด้วยซ้ำ
การจะประสพความสำเร็จได้นั้นต้องมีการสร้างระบบที่มีความแข็งแกร่ง ต้องกล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง และทำในสิ่งที่ชอบ ต้องเลือกและกำหนดเป้าหมายตัวเองให้เร็วที่สุด ต้องรู้จักตัวเองและทำในสิ่งที่ชอบ หลายๆคนกลัวและเลือกทางชีวิตที่มั่นคงแต่น่าเบื่อหน่ายมากกว่าทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบเพื่อให้ประสพความสำเร็จ (รู้สึกเจ็บปวดกับประโยคนี้ ฮาๆ) คนเราต้องหาความต้องการในตัวเองให้เจอ ต้องแยกให้ออกระหว่างความถนัดกับสิ่งที่ชอบ ฝึกอ่านคนให้เป็น ฝึกคิดให้รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตัวเอง
ส่วนนึงที่จะช่วยให้ประสพความสำเร็จได้ก็คือต้องเป็นนักขายที่ดี ต้องเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ต้องมั่นใจในตัวเองและเป็นคนที่ไว้วางใจได้ หัดพูดให้เป็น ใช้เครือข่ายคนรู้จักรอบตัวให้เป็นประโยชน์ พยายามรักษามิตรภาพที่ดีเอาไว้ให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่จะหายากมากๆ
พยายามเรียนรู้และเข้าใจกฏของเงินที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแต่เป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องมีทัศนคติที่ดีต่อเงิน เป็นคนใช้เงิน ไม่ใช่เป็นทาสของเงิน ต้องรู้จักหาเงิน ใช้เงินให้เป็น ปกป้องและรักษาเงินไว้ให้ได้ รู้จักการลงทุนต่อเงิน และแบ่งปันเงินที่หามาได้ด้วย
การมีธุรกิจของตัวเองเป็นอย่างไร ก็ต้องมองธุรกิจให้ออก การจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นควรทำอย่างไร หรือต้องทำอะไรบ้าง ทำไมคนเราต้องควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น การมีชีวิตที่ดีนั้นเป็นอย่างไร การมีจิตสำนึกและทัศนคติที่ดีต่อเงินนั้นจะช่วยให้เราดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีได้อย่างไร และมันจะสามารถสร้างความแตกต่างในชีวิตได้แค่ไหน เราต้องกล้าและเรียนรู้ที่จะตัดสินใจและในขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวังและความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นแน่ๆในชีวิต
สุดท้ายเศรษฐีชาวยิวก็บอกว่าจงอย่าละทิ้งความฝันและจงพร้อมที่จะรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ทุกๆอย่างและทุกๆอุปสรรคที่จะเข้ามาในชีวิตให้ได้
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งสั้นๆจากหนังสือที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากกว่านี้ โดยส่วนตัวผมก็คิดว่าเป็นหนังสือที่ดีระดับนึงเลยทีเดียว มีหลายประเด็นน่านำไปใช้ในชีวิตการเงินการลงทุน หรือแม้แต่จะใช้นำทางการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป เวลาที่ใช้ในการอ่านเพียง 1-2 วันนั้นไม่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอนครับ
อ้างอิง:
หนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น (เล่มที่ 1) เขียนโดย ฮอนดะ เคน แปลเป็นภาษาไทยโดย บรรเจิด ชวลิตเรืองฤทธิ์
blenlit
hakwamroo.com
jj
ขอบคุณครับ